Immortality Chapter 52 Raise The Glass To The Moon
นิยาย เรื่อง อมตะ ตอนที่ 52 ดื่มเหล้าเคล้าแสงจันทร์.
บทที่ 52 ดื่มเหล้าเคล้าแสงจันทร์.
ได้ยินคำพูดของเป่ยชิงซือแล้ว,จงซานที่ขมวดคิ้วไปมาช้าๆ,พร้อมกับรินสุราลงแก้ว.
"แก้แค้นรึ?ข้าไม่คิดว่าท่านควรจะแก้แค้น."จงซานที่กล่าวออกมาทันที,ขณะที่เขายื่นแก้วสุราให้กับนาง.
เป่ยชิงซือที่จมจ่อมอยู่กับความเศร้า,ถึงกับดวงตาเบิกกว้างที่ได้ยินคำแนะนำของจงซาน,ในดวงตาที่เผยความโกรธเกรี้ยวออกมา,และนางก็ไม่ขยับและไม่รับแก้วด้วย.
"312
ชีวิตของคนตระกูลท่าน,ตอนนี้มีเพียงบ่าวรับใช้ที่โชคดีหนีมาได้และท่านเป็นทายาทคนสุดท้ายของตระกูล,"จงซานที่กล่าวอย่างระมัดระวัง,ก่อนที่จะยื่นแก้วสุราไปให้กับนางอีกครั้ง.
เป่ยชิงซือที่ยังขมวดคิ้วแน่นจ้องมองไปยังจงซาน,ทว่านางก็รับแก้วสุรามา.
เห็นเป่ยชิงซือที่รับแก้วสุราไป,จงซานก็ส่ายหน้าและกล่าวต่อ"ท่านคือทายาทคนสุดท้ายของตระกูล,ท่านต้องการจะแก้แค้นจริงๆรึ?หากว่าท่านตายไปโดยที่ยังทำภารกิจไม่สำเร็จ,ตระกูลของท่านไม่ต้องจบสิ้นแล้วรึ?
กับสายโลหิตคนสุดท้ายของตระกูลเป่ย,ท่านยอมรับได้จริงๆรึ?"
นางที่จ้องมองสุราในแก้ว,พร้อมกับขมวดคิ้วไปมาคิดอยู่ในใจ,คิ้วสีขาวของนางที่ดูอ่อนโยน,เผยความงามออกมา.
"เช่นนั้นข้าควรที่จะทำเช่นไร?"เป่ยชิงซือสอบถาม,จ้องมองไปยังจงซาน.
"อย่าได้แก้แค้น,รักษาชีวิตของท่านเอาไว้,อย่าให้สายโลหิตสุดท้ายต้องสูญสิ้นไปในอนาคต,"จงซานที่กล่าวออกมาอย่างอ่อนโยน.
จงซานที่รู้สึกว่าเขาเป็นหนี้นางที่เขาไปพบนางอาบน้ำโดยบังเอิญในเวลานั้น,และยังมีบุญคุณเกี่ยวกับชิ้นส่วนหยกนั่นที่ทำให้เขาได้มีโอกาสได้เข้าสำนักไคหยาง,เรื่องของเป่ยชิงซือนั้นเขาที่คิดหาวิธีที่จะชดเชยให้นางซึ่งก็แน่นอนว่า,เขาต้องการแนะนำให้นากลับมาสู่เส้นทางที่ถูกต้อง.
"ไม่,ข้าจะต้องทวงความยุติธรรมคืนมา."เป่ยชิงซือยังกล่าวอย่างหนักแน่น.
เห็นท่าทางของเป่ยชิงซือเช่นนั้น,จงซานที่ถอนหายใจและกล่าวออกมาว่า"หากว่าท่านต้องการแก้แค้นจริงๆล่ะก็,อย่างน้อยก็ควรที่จะมีทายาทให้ตระกูลเป่ยไว้สืบทอดไม่ใช่รึ?"
นางที่จ้องมองไปยังจงซาน,ก่อนที่ภายในสายตาของนางนั้นมีประกายแสงที่ดูผิดปรกติ,จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อๆ,และส่ายหน้าเบาๆ.
"เจ้าไม่เข้าใจ,อย่าได้พยายามเกลี้ยกล่อมข้าเลย,ไม่เช่นนั้น,เรื่องที่เกิดขึ้น,หากข้าปล่อยวาง,ข้าจะยังเป็นข้าเป่ยชิงซืออีกเหรอ?"นางที่ถอนหายใจยาว.
เห็นท่าทางที่ดื้อรั้นของเป่ยชิงซือ,จงซานรู้ว่าไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของนางได้,และคงทำได้แค่ยอมแพ้,ดังนั้นเขาจึงกล่าวออกไปว่า."ดี,ทว่าหากท่านต้องการจะแก้แค้น,ขอได้โปรดจำไว้ว่าอย่าประมาท,ดูแลตัวเองให้ปลอดภัยที่สุดเท่าที่จะทำได้."
"ขณะทีกล่าวนั้น,จงซานที่ยกแก้วขึ้น.
เห็นท่าทางของจงซานแล้ว,เป่ยชิงซือเผยยิ้มเล็กน้อยและยกแก้วของนางขึ้นชนแก้วของเขาเบาๆ.
"คลิ๊ก."
เมื่อทั้งสองยกแก้วขึ้นชนกันแล้ว,ดูเหมือนว่าจะเกิดเสียงสะท้อนเล็กน้อยทว่ามันกับสั่นสะท้านก้องอยู่ในใจของเป่ยชิงซือ,ดูเหมือนว่าเวลานี้,จะทำให้นางลืมความเศร้าได้ชั่วขณะ,ความขุ่นเคืองไม่พอใจมากมายที่ถูกวางเอาไว้,ทำให้นางผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมา.
หลังจากที่ทั้งสองคนยกแก้วสุราขึ้นดื่มแล้ว,ทั้งคู่ก็จ้องมองขึ้นไปมองพระจันทร์.
"ท่านคงจะไม่เคยกินของหวานมานานแล้ว,ลองดูหน่อยใหม?"จงซานที่แนะนำและยืนขนมปังปิ้งที่อยู่ในจานให้นาง,
เป่ยชิงซือที่รู้สึกประหลาดใจทว่าก็ไม่ได้ปฏิเสธ,ในเวลานี้,ดูเหมือนว่านางจะสามารถวางภาระอันหนังอึ้งเอาไว้ได้,หลังจากที่สารภาพทุกอย่างออกมาให้จงซานฟังแล้ว,นางรู้สึกผ่อนคลายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน,ราวกับว่าโซ่ตรวจเส้นใหญ่ที่หนักมากๆมันถูกล๊อกตรึงร่างของนางเอาไว้นั้น,ได้ถูกถอดออกมา,ทำให้เป่ยชิงซือรับรู้ว่าคืนนี้นางควรจะวางมันไว้ก่อน,นางที่กินและดื่มสุราอย่างผ่อนคลาย.
เฝ้ามองเป่ยชิงซือแล้ว,จงซานที่ส่ายหน้าไปมา,เขาที่เห็นหัวใจของนางที่หนักอึ้ง,เขาที่ได้แต่ทอดถอนใจไม่สามารถทำอะไรได้เว้นแต่ทำให้เป่ยชิงซือในคืนนี้ผ่อนคลายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้.
ในคืนนี้,จงซานและเป่ยชิงซือที่ดื่มเหล้าเคล้าแสงจันทร์,ทั้งคู่ที่พูดคุยแบ่งปันความรู้สึกกันและกัน,ซึ่งทำให้เป่ยชิงซือนั้นมีความสุขเป็นอย่างมาก.
นี่นับว่าเป็นช่วงเวลาที่นางมีความสุขมากที่สุดนับตั้งแต่ตระกูลของนางถูกสักหารไปทั้งหมด,หลายปีมานี้,นางไม่เคยมีความสุขเลย,ไม่รุ้ทำไมนางถึงได้มาอยู่ที่นี่กับจงซาน?
นางไม่เคยพูดคุยเรื่องแก้แค้นของนางให้กับใครฟังเลย,แม้แต่ภายในสำนักไคหยางนั้น,มีเพียง,เทียนซวินจื่อ,เสวียนซวินจื่อและกู่ซ่างจื่อ,สามคนที่เป็นศิษย์ขั้นหนึ่งของสำนักไคหยางเท่านั้นที่รู้,นางเองก็ไม่รู้ทำไมถึงได้นำเรื่องนี้มาบอกกับจงซานด้วย.
ส่วนจงซานนั้น,เขารู้ว่าทำไม,เมื่อนางร้องไห้ต่อหน้าพระจันทร์ก่อนหน้านี้,คงเป็นเพราะว่านางคิดถึงคนในตระกูลนาง,ในเวลานั้นนางเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและเสียใจ,และจิตวิญญาณของนางที่กำลังอยู่ในความอ่อนแอที่สุด,สำหรับจงซานแล้วเขาเป็นคนที่นางสามารถเล่าออกมาได้,คนที่นางไม่ได้สังหาร,และเป็นคนที่นำหลักฐานที่จะทำให้บิดาของนางพ้นมลทิน,ดังนั้นเป็นเหตุให้หัวใจของนางสามารถที่จะเปิดออกมาและพูดคุยเรื่องดังกล่าวนี้ออกมาได้.
จงซานเองก็นับว่าเป็นคนที่เข้าใจความรู้สึกของคนอื่นๆได้ดี,เขารู้ว่าเขานั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของนางได้,ดังนั้นเขาจึงแนะนำเรื่องที่ง่ายที่จะทำได้,ไม่เช่นนั้นโซ่ตรวจที่ผูกรัดนางเอาไว้นั้นอาจจะทำให้นางบ้าคลั่งได้.
พวกเขาที่นั่งคุยกันจวบจนดวงจันทร์กำลังจะลับตา,ทันใดนั้นจงซานก็เอ่ยออกไปว่า,"ข้าได้ยินมาว่าท่านกำลังจะเดินทางไปยังภูเขาป้าเหมินเร็วๆนี้อย่างงั้นรึ?"
นางที่จ้องมองไปยังจงซาน,เป่ยชิงซือที่ตะหนักได้ว่าหลายชั่วโมงที่พวกเขาพูดคุยกันนี้,เรื่องที่กระอักกระอ่วนใจของนางนั้นได้สลายหายไป,นางที่รู้สึกประหลาดใจมากที่สามารถพูดคุยกับเขาได้นานขนาดนี้,หลังจากที่ตระกูลนางล่มสลาย,นอกจากอาจารย์ของนาง,กู่ซ่างจื่อ,นางไม่เคยคุยกับใครนานขนาดนี้.
"ภูเขาป้าเหมินคือหนึ่งในนั้น."เป่ยชิงซือที่กล่าวออกมาอย่างอ่อนโยน.
"หนึ่งในหลักฐานทั้งสามอย่างงั้นรึ?"จงซานที่ขมวดคิ้วและชำเลืองมองไปยังนาง.
"อืม"เป่ยชิงซือที่พยักหน้าอย่างนุ่มนวล.
เห็นเป่ยชิงซือพยักหน้ารับ,จงซานเองก็พักหน้าเช่นกัน,เขาไม่สามารถกล่าวอะไรกับนางได้อีกแล้ว,เขารู้ว่าไม่สามารถชักจูงนางได้,เขาเองก็ไม่สามารถไปเป็นเพื่อนนางได้ด้วย,ทางที่ดีที่สุดคือไม่ถามอะไรมากจนเกินไป,ไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้นางเสียใจขึ้นมาอีก.
"เฮ้อ."จงซานที่ถอนหายใจออกมาเบาๆ,เป็นการถอนหายใจเพื่อนาง.
เห็นจงซานที่ถอนหายใจ,ราวกับว่าทำให้หัวใจของเป่ยชิงซือรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา,นานเท่าไหร่แล้วที่นางไม่เคยรู้สึกเช่นนี้,ท้ายที่สุด,นางก็หันหน้ากลับ,พวกเขาทั้งคู่ที่เฝ้ามองดวงจันทร์ลับตาไป.
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
วันถัดมา,ตอนบ่ายแก่ๆ.
ในห้องโถง,สาวใช้ที่นำน้ำชามาเสริฟที่ด้านหน้าจงซาน,เทียนหลิงเอ๋อและเป่ยชิงซือ.
หลังจากผ่านคืนนั้นมา,เป่ยชิงซือตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเปิดใจยิ่งขึ้นและนางยังออกมาร่วมดื่มน้ำชากับพวกเขาด้วย,ส่วนจงซานที่เห็นนางเปลือยวันนั้น,นางก็ได้ลืมมันไปแล้ว,นอกจากนี้,ระหว่างนางและจงซานนั้น,ได้สร้างมิตรภาพขึ้นมาแล้ว,เป็นมิตรภาพที่พิเศษมาก,ดูเหมือนว่าจะเป็นเหมือนสหายเก่าทว่าก็มีความรู้สึกที่คลุมเครือบางอย่างอยู่ด้วยเช่นกัน,ดูไม่ค่อยชัดแจ้งนัก,อย่างไรก็ตาม,พวกเขาทั้งคู่ก็หาได้ใส่ใจ.
"ศิษย์พี่ชิงซือ,เมื่อวานท่านไปใหนอย่างงั้นรึ?ข้ามีเรื่องบางอย่างต้องการถามท่าน."เทียนหลิงเอ๋อที่กล่าวต่อเป่ยชิงซือ.
"หืม,ข้ามีเรื่องที่ต้องทำนิดหน่อยนะ."เป่ยชิงซือที่ตอบออกมาอย่างกระอักกระอ่วน.
"เช่นนั้นก็ดีแล้ว,พี่ชิงซือ,ข้ามีเรื่องต้องการถามท่าน,ท่านก้าวไปถึงระดับแกนทองได้อย่างไร?"เทียนหลิงเอ๋อสอบถาม.
"เอ๊ะ,เจ้าไปถึงระดับสิบเซียนแล้วแล้วรึ?"เป่ยชิงซือที่สอบถามออกไปด้วยท่าทางประหลาดใจ.
"ใช่แล้ว,ข้าอยากได้คำแนะนำวิธีที่จะก้าวไปถึงระดับแกนทองนะ,ข้าอยากจะทำให้เตี่ยประหลาดใจเมื่อข้ากลับไปยังสำนักเมื่อครบหนึ่งปี."เทียนหลิงเอ๋อที่กล่าวออกมาด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย.
จงซานนั่งอยู่ข้างๆ,เขาไม่ได้กล่าวสิ่งใด,เขายกน้ำชาขึ้นจิบเป็นระยะ,นับว่าผ่อนคลายเป็นอย่างมากที่ได้เห็นสาวงามทั้งสองคุยกัน.
นางที่มองไปยังเทียนหลิงเอ๋อด้วยความประหลาดใจครุ่นคิดพักหนึ่งก่อนที่จะกล่าวออกมาว่า,"เมื่อเจ้าก้าวไปถึงระดับสิบเซียนเทียน,ภายในร่างของเจ้าจุดชีพจรก็จะเปิดออกทั้งหมด,แกนแท้สามารถโคจรได้อย่างต่อเนื่อง,ตอนนี้,เจ้าจะต้องใช้จะชีพจรของแกนแท้,ทำการสร้างส่วนประกอบผสมปรุงแต่งมัน,ด้วยการเปิดจุดชีพจรทั้งหมดดูดซับพลังฟ้าดิน,สกัดกลั่นมัน,เพื่อสร้างเป็นแกนทอง."
ได้ยินคำพูดของเป่ยชิงซืออธิบาย,จงซานค่อนข้างสนใจทีเดียว,เขตแดนแกนทองรึ?ที่เรียกว่าแกนทองเพราะว่าผสมปรุงแต่งพลังต่างๆเข้ามาในร่างอย่างงันรึ?ปรุงแต่งร่างมนุษย์,ผสมมันด้วยพลังวิญญาณให้กลายเป็นแกนทองอย่างงั้นรึ?
"เช่นนั้น,หากว่าสามารถปรุงร่างของข้าให้กลายเป็นแกนทองได้?เช่นนั้นข้าก็จะมีระดับแกนทองอย่างงั้นรึ?"เทียนหลิงเอ๋อที่คิดใครครวญก่อนที่จะถามออกมา.
"ข้าคิดว่า,คงอีกไม่นานแล้วสิ,ที่พวกเราจะเรียกเจ้าว่าศิษย์น้อง."เป่ยชิงซือเผยยิ้มอย่างนุ่มนวล.
เป่ยชิงซือปรกติแล้วนางจะเป็นคนเย็นชาไร้ซึ่งอารมณ์,และไม่ค่อยยิ้มเลยแม้แต่น้อย,เมื่อเห็นนางยิ้มออกมา,แม้แต่เทียนหลิงเอ๋อยังตื่นตะลึงทีเดียว.
"พี่ชิงซือ,เวลาท่านยิ้มช่างงดงามนัก."เทียนหลิงเอ๋อที่เอ่ยปากชมทันที.
"หลิงเอ๋อ,เจ้ายอข้าเกินไปแล้ว."เป่ยชิงซือกล่าว.
"เป็นเรื่องจริงนะ!ถามจงซานดูซิหากว่าท่านไม่เชื่อข้า,ท่านงดงามจริงๆ."เทียนหลิงเอ๋อที่เอ่ยขึ้นมาทันที.
หลังจากที่เทียนหลิงเอ๋อชี้ไปยังจงซาน,เขาที่ไอออกมาเบาๆพร้อมกับพยักหน้า.
เห็นจงซานพยักหน้า,ใบหน้าของเป่ยชิงซืออดไม่ได้เลยที่จะมีสีแดงระเรื่อก่อนที่นางจะเปลี่ยนหัวข้อในทันที,"ไม่ว่าอย่างไร,การปรุงแต่งผสานพลังฟ้าดินนั้น,หลิงเอ๋อเจ้าจะต้องระวังให้ดี."
"หืม?"เทียนหลิงเอ๋อที่ตั้งใจฟังเรื่องทีเป่ยชิงซือกล่าว.
"การก้าวไปยังระดับแกนทองนั้นจะต้องเป็นไปอย่างช้าๆ,ไม่สามารถเร่งรีบได้,และระหว่างนั้นจะต้องไม่มีใครรบกวนด้วย,ทางที่ดีเจ้าควรที่จะรอกลับไปถึงสำนักไคหยางก่อนแล้วค่อยลอง."เป่ยชิงซือที่คิดชั่วครู่ก่อนที่จะกล่าวออกมา.
"อืม."เทียนหลิงเอ๋อพยักหน้า,รู้สึกผิดหวังในใจเหมือนกัน,ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถก้าวไปยังระดับแกนทองได้ก่อนที่จะกลับสำนักไคหยางสินะ.
เห็นท่าทางของเทียนหลิงเอ๋อแล้ว,เป่ยชิงซือสามารถคาดเดาเหตุผลได้,นางจึงได้กล่าวเสริมอีกว่า."การก้าวไปยังระดับแกนทองนั้น,ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น,ไม่เพียงแต่เจ้าจะต้องอยู่เพียงลำพังเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว,เจ้าเองจำเป็นต้องใช้ศิลาวิญญาณจำนวนมากในการทะลวงขั้นช่วยด้วย."
"ศิลาวิญญาณ?"จงซานที่สอบถามออกมาทันที,ภายในดวงตาของเขานั้นมีความอยากรู้ปรากฏขึ้นมา,มันเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเช่นกัน.
เห็นจงซานที่สนใจ,เป่ยชิงซือคิดอยู่ชั่วขณะก่อนที่จะกล่าวออกมาว่า"ใครก็ตามที่สามารถก้าวผ่านไปยังระดับแกนทองได้จะทำให้อายุไขยืดออกไปอีกสี่ร้อยปี,อย่างไรก็ตาม,การจะฝึกฝนเองก็ยากลำบากกว่าระดับเซียนเทียนหลายเท่าเช่นกัน,เป็นความยากที่เกินกว่าจะบรรยาย,เว้นแต่บุคคลพิเศษ,ด้วยจำเป็นที่ต้องเก็บเกี่ยวพลังฟ้าดินจำนวนมากมาใช้,หากสามารถยืมวิญญาณมาใช้ได้แล้วล่ะก็จะทำให้ง่ายกว่าที่จะทะลวงไปยังระดับแกนทอง."
"โอ้ว?"จงซานที่แสดงท่าทางสนใจเป็นอย่างมาก.
"ทั่วทั้งผืนฟ้าและปฐพีนั้น,สถานที่แต่ละแห่งนั้นมีพลังวิญญาณที่มีปริมาณแตกต่างกัน,เหมือนดังสำนักไคหยางของพวกเราที่มีพลังวิญญาณสะสมกันอยู่มาก,ทว่าเปรียบกับที่นี่ล่ะก็,มีพลังวิญญาณที่น้อยมากๆ,ซึ่งเป็นเรื่องยากมากๆที่จะสามารถทะลวงผ่านไปยังระดับแกนทองได้."
"อืม."จงซานที่นั่งฟังด้วยความสนใจ.
"จะให้กล่าวโดยปรกติล่ะก็,หากไม่มีสถานที่ยอดเยี่ยม,การจะก้าวไปยังระดับแกนทองก็ค่อนจำกัด,เพราะเช่นนั้นในสถานที่ทั่วไปนั้นผู้ฝึกตนส่วนมากจึงมีอายุเพียงแค่สี่ร้อยปี,อย่างไรก็ตาม,ยังมีสิ่งของอย่างหนึ่งที่บรรจุพลังวิญญาณเอาไว้,ซึ่งเราเรียกว่าศิลาวิญญาณ."เป่ยชิงซือกล่าว.
จงซานที่ขมวดคิ้วไปมาขณะที่เขารับฟัง,แม้ว่าเทียนหลิงเอ๋อเองจะรับรู้มาบ้าง,ทว่านางก็ไม่เข้าใจนัก,ทำให้นางอดทนฟังด้วยเช่นกัน.
เห็นจงซานแสดงท่าทางสนใจเป็นอย่างมากแล้ว,เป่ยชิงซือเองก็ต้องการอธิบายให้ฟังด้วยเหมือนกัน.
"ศิลาวิญญาณนั้น,คือปราณจิตวิญญาณที่รวมตัวกันขึ้นมาเป็นศิลาที่พิเศษ,ยิ่งมีความโปรงใสเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นศิลาวิญญาณที่สมบูรณ์,หากไม่สมบูรแล้วก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน,ศิลาวิญญาณนั้นมีอยู่ด้วยกันสองประเภท,หนึ่งคือศิลาวิญญาณหยางซึ่งจะมีรังสีสีแดงแผ่ออกมา,ส่วนอีกประเภทคือศิลาวิญญาณหยิน,ซึ่งจะมีรังสีสีน้ำเงินแผ่ออกมา,"เป่ยชิงซือกล่าว.
ด้วยการสะบัดมือหนึ่งครั้ง,ก็ปรากฏศิลาสองก้อนขึ้น,หนึ่งมีสีน้ำเงินและอีกหนึ่งมีสีแดง,นางที่วางเอาไว้ด้านหน้าของจงซาน.
จงซานที่หยิบศิลาก้อนหนึ่งขึ้นมา,เขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณจำนวนมากที่อัดแน่นอยู่ด้านใน,ราวกับว่ามันจะเอ่อล้นกระจายออกมาเลยทีเดียว.
เทียนหลิงเอ๋อเองก็หยิบอีกก้อนขึ้นมาตรวจสอบเช่นกัน.
"ทั้งสองก้อนนี้คือศิลาวิญญาณหยิน,และศิลาวิญญาณหยาง,หากจะกล่าวอีกอย่างล่ะก็,หากว่ามีศิลาทั้งสองนี้ก็จะสามารถดูดซับปราณวิญญาณได้อย่างต่อเนื่อง,ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับผู้ฝึกได้."เป่ยชิงซือที่กล่าวอธิบาย.
"ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกตนที่ต้องการก้าวไปยังระดับแกนทองต่างก็ต้องการศิลาวิญญาณหรอกรึ?"จงซานที่ขมวดคิ้วขณะคิด.
"ถูกแล้ว,ตราบเท่าที่พบเหมืองศิลาวิญญาณล่ะก็,พวกเขาต่างก็แก่งแย่งและสังหารกันอย่างแน่นอน."เป่ยชิงซือที่กล่าวตอบ.
"อืม."จงซานพยักหน้า.
"ในโลกการฝึกตนนั้น,ศิลาวิญญาณนั้นยังใช้เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนกับทุกสิ่งที่เจ้าต้องการได้อีกด้วย"เป่ยชิงซือกล่าว.
"อืม,หากเป็นไปอย่างที่ท่านพูดล่ะก็,ตราบเท่าที่ใครก็ตามต้องการไปถึงระดับแกนทอง,ก็จำเป็นต้องใช้ศิลาวิญญาณ,นั่นก็หมายความว่าศิลาวิญญาณนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ."จงซานที่พยักหน้าขณะที่เขากล่าว,อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับการค้า,จงซานถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งทีเดียว.
"ถูกแล้ว,ศิลาวิญญาณนั้นมีมูลค่าเนื่องด้วยมีพลังวิญญาณบรรจุอยู่ด้านใน,และยังแบ่งออกตามความเข้มข้นตามสีของมัน,มีอยู่ด้วยกันสามระดับ,ศิลาวิญญาณระดับสูงนั้นจะมีความเข้มข้นสูงสุด,และศิลาระดับทั่วไปและระดับต่ำก็จะมีสีจางลงไป."เป่ยชิงซือกล่าว.
"อืม?แล้วมีมูลค่าต่างกันอย่างไร?"
"ศิลาวิญญาณระดับสูงนั้นเทียบได้กับสิบศิลาวิญญาณทั่วไป,และศิลาวิญญาณทั่วไปเทียบได้กับสิบศิลาวิญญาณระดับต่ำ."เป่ยชิงซือกล่าว.
"อืม."จงซานพยักหน้า,และจดจำข้อมูลนี้ไว้.
"ศิษย์พี่หญิง?หลิงเอ๋อ?ศิษย์พี่ใหญ่มาถึงแล้ว."หยุนเฉียนที่กล่าวออกมาจากด้านนอก.
การสนทนาของพวกเขาก็หยุดลง,จงซานที่ขมวดคิ้วไปมา,ทว่าก็ยืนขึ้น,หลิงเอ๋อที่วิ่งออกไปด้านนอกทันทีที่นางได้ยิน.
เป่ยชิงซือและจงซนที่จ้องมองหน้ากันและกัน,พร้อมกับเดินออกไปนอกห้องโถง.
ที่มาจากhttps://lnmtl.com/novel/immortality
#นิยาย เรื่องอมตะ #Immortality#นิยายแปลไทย
Author(s)
สนใจสนับสนุนพวกเรา,เข้าร่วมกลุ่ม VIP ====> Click
***เว็ปฟรีอัพ สองวันหนึ่งตอน
***กลุ่มลับ อัพ 2-3 ตอนต่อวัน.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น