วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

Immortality Chapter 52 Raise The Glass To The Moon

Immortality Chapter 52 Raise The Glass To The Moon

นิยาย เรื่อง อมตะ ตอนที่ 52 ดื่มเหล้าเคล้าแสงจันทร์.


บทที่ 52 ดื่มเหล้าเคล้าแสงจันทร์.


ได้ยินคำพูดของเป่ยชิงซือแล้ว,จงซานที่ขมวดคิ้วไปมาช้าๆ,พร้อมกับรินสุราลงแก้ว.

"แก้แค้นรึ?ข้าไม่คิดว่าท่านควรจะแก้แค้น."จงซานที่กล่าวออกมาทันที,ขณะที่เขายื่นแก้วสุราให้กับนาง.

เป่ยชิงซือที่จมจ่อมอยู่กับความเศร้า,ถึงกับดวงตาเบิกกว้างที่ได้ยินคำแนะนำของจงซาน,ในดวงตาที่เผยความโกรธเกรี้ยวออกมา,และนางก็ไม่ขยับและไม่รับแก้วด้วย.


"312 ชีวิตของคนตระกูลท่าน,ตอนนี้มีเพียงบ่าวรับใช้ที่โชคดีหนีมาได้และท่านเป็นทายาทคนสุดท้ายของตระกูล,"จงซานที่กล่าวอย่างระมัดระวัง,ก่อนที่จะยื่นแก้วสุราไปให้กับนางอีกครั้ง.

เป่ยชิงซือที่ยังขมวดคิ้วแน่นจ้องมองไปยังจงซาน,ทว่านางก็รับแก้วสุรามา.

เห็นเป่ยชิงซือที่รับแก้วสุราไป,จงซานก็ส่ายหน้าและกล่าวต่อ"ท่านคือทายาทคนสุดท้ายของตระกูล,ท่านต้องการจะแก้แค้นจริงๆรึ?หากว่าท่านตายไปโดยที่ยังทำภารกิจไม่สำเร็จ,ตระกูลของท่านไม่ต้องจบสิ้นแล้วรึ? กับสายโลหิตคนสุดท้ายของตระกูลเป่ย,ท่านยอมรับได้จริงๆรึ?"

นางที่จ้องมองสุราในแก้ว,พร้อมกับขมวดคิ้วไปมาคิดอยู่ในใจ,คิ้วสีขาวของนางที่ดูอ่อนโยน,เผยความงามออกมา.

"เช่นนั้นข้าควรที่จะทำเช่นไร?"เป่ยชิงซือสอบถาม,จ้องมองไปยังจงซาน.

"อย่าได้แก้แค้น,รักษาชีวิตของท่านเอาไว้,อย่าให้สายโลหิตสุดท้ายต้องสูญสิ้นไปในอนาคต,"จงซานที่กล่าวออกมาอย่างอ่อนโยน.

จงซานที่รู้สึกว่าเขาเป็นหนี้นางที่เขาไปพบนางอาบน้ำโดยบังเอิญในเวลานั้น,และยังมีบุญคุณเกี่ยวกับชิ้นส่วนหยกนั่นที่ทำให้เขาได้มีโอกาสได้เข้าสำนักไคหยาง,เรื่องของเป่ยชิงซือนั้นเขาที่คิดหาวิธีที่จะชดเชยให้นางซึ่งก็แน่นอนว่า,เขาต้องการแนะนำให้นากลับมาสู่เส้นทางที่ถูกต้อง.

"ไม่,ข้าจะต้องทวงความยุติธรรมคืนมา."เป่ยชิงซือยังกล่าวอย่างหนักแน่น.

เห็นท่าทางของเป่ยชิงซือเช่นนั้น,จงซานที่ถอนหายใจและกล่าวออกมาว่า"หากว่าท่านต้องการแก้แค้นจริงๆล่ะก็,อย่างน้อยก็ควรที่จะมีทายาทให้ตระกูลเป่ยไว้สืบทอดไม่ใช่รึ?"

นางที่จ้องมองไปยังจงซาน,ก่อนที่ภายในสายตาของนางนั้นมีประกายแสงที่ดูผิดปรกติ,จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อๆ,และส่ายหน้าเบาๆ.

"เจ้าไม่เข้าใจ,อย่าได้พยายามเกลี้ยกล่อมข้าเลย,ไม่เช่นนั้น,เรื่องที่เกิดขึ้น,หากข้าปล่อยวาง,ข้าจะยังเป็นข้าเป่ยชิงซืออีกเหรอ?"นางที่ถอนหายใจยาว.

เห็นท่าทางที่ดื้อรั้นของเป่ยชิงซือ,จงซานรู้ว่าไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของนางได้,และคงทำได้แค่ยอมแพ้,ดังนั้นเขาจึงกล่าวออกไปว่า."ดี,ทว่าหากท่านต้องการจะแก้แค้น,ขอได้โปรดจำไว้ว่าอย่าประมาท,ดูแลตัวเองให้ปลอดภัยที่สุดเท่าที่จะทำได้."

"ขณะทีกล่าวนั้น,จงซานที่ยกแก้วขึ้น.

เห็นท่าทางของจงซานแล้ว,เป่ยชิงซือเผยยิ้มเล็กน้อยและยกแก้วของนางขึ้นชนแก้วของเขาเบาๆ.

"คลิ๊ก."

เมื่อทั้งสองยกแก้วขึ้นชนกันแล้ว,ดูเหมือนว่าจะเกิดเสียงสะท้อนเล็กน้อยทว่ามันกับสั่นสะท้านก้องอยู่ในใจของเป่ยชิงซือ,ดูเหมือนว่าเวลานี้,จะทำให้นางลืมความเศร้าได้ชั่วขณะ,ความขุ่นเคืองไม่พอใจมากมายที่ถูกวางเอาไว้,ทำให้นางผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมา.

หลังจากที่ทั้งสองคนยกแก้วสุราขึ้นดื่มแล้ว,ทั้งคู่ก็จ้องมองขึ้นไปมองพระจันทร์.

"ท่านคงจะไม่เคยกินของหวานมานานแล้ว,ลองดูหน่อยใหม?"จงซานที่แนะนำและยืนขนมปังปิ้งที่อยู่ในจานให้นาง,

เป่ยชิงซือที่รู้สึกประหลาดใจทว่าก็ไม่ได้ปฏิเสธ,ในเวลานี้,ดูเหมือนว่านางจะสามารถวางภาระอันหนังอึ้งเอาไว้ได้,หลังจากที่สารภาพทุกอย่างออกมาให้จงซานฟังแล้ว,นางรู้สึกผ่อนคลายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน,ราวกับว่าโซ่ตรวจเส้นใหญ่ที่หนักมากๆมันถูกล๊อกตรึงร่างของนางเอาไว้นั้น,ได้ถูกถอดออกมา,ทำให้เป่ยชิงซือรับรู้ว่าคืนนี้นางควรจะวางมันไว้ก่อน,นางที่กินและดื่มสุราอย่างผ่อนคลาย.

เฝ้ามองเป่ยชิงซือแล้ว,จงซานที่ส่ายหน้าไปมา,เขาที่เห็นหัวใจของนางที่หนักอึ้ง,เขาที่ได้แต่ทอดถอนใจไม่สามารถทำอะไรได้เว้นแต่ทำให้เป่ยชิงซือในคืนนี้ผ่อนคลายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้.

ในคืนนี้,จงซานและเป่ยชิงซือที่ดื่มเหล้าเคล้าแสงจันทร์,ทั้งคู่ที่พูดคุยแบ่งปันความรู้สึกกันและกัน,ซึ่งทำให้เป่ยชิงซือนั้นมีความสุขเป็นอย่างมาก.

นี่นับว่าเป็นช่วงเวลาที่นางมีความสุขมากที่สุดนับตั้งแต่ตระกูลของนางถูกสักหารไปทั้งหมด,หลายปีมานี้,นางไม่เคยมีความสุขเลย,ไม่รุ้ทำไมนางถึงได้มาอยู่ที่นี่กับจงซาน? นางไม่เคยพูดคุยเรื่องแก้แค้นของนางให้กับใครฟังเลย,แม้แต่ภายในสำนักไคหยางนั้น,มีเพียง,เทียนซวินจื่อ,เสวียนซวินจื่อและกู่ซ่างจื่อ,สามคนที่เป็นศิษย์ขั้นหนึ่งของสำนักไคหยางเท่านั้นที่รู้,นางเองก็ไม่รู้ทำไมถึงได้นำเรื่องนี้มาบอกกับจงซานด้วย.

ส่วนจงซานนั้น,เขารู้ว่าทำไม,เมื่อนางร้องไห้ต่อหน้าพระจันทร์ก่อนหน้านี้,คงเป็นเพราะว่านางคิดถึงคนในตระกูลนาง,ในเวลานั้นนางเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและเสียใจ,และจิตวิญญาณของนางที่กำลังอยู่ในความอ่อนแอที่สุด,สำหรับจงซานแล้วเขาเป็นคนที่นางสามารถเล่าออกมาได้,คนที่นางไม่ได้สังหาร,และเป็นคนที่นำหลักฐานที่จะทำให้บิดาของนางพ้นมลทิน,ดังนั้นเป็นเหตุให้หัวใจของนางสามารถที่จะเปิดออกมาและพูดคุยเรื่องดังกล่าวนี้ออกมาได้.

จงซานเองก็นับว่าเป็นคนที่เข้าใจความรู้สึกของคนอื่นๆได้ดี,เขารู้ว่าเขานั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของนางได้,ดังนั้นเขาจึงแนะนำเรื่องที่ง่ายที่จะทำได้,ไม่เช่นนั้นโซ่ตรวจที่ผูกรัดนางเอาไว้นั้นอาจจะทำให้นางบ้าคลั่งได้.

พวกเขาที่นั่งคุยกันจวบจนดวงจันทร์กำลังจะลับตา,ทันใดนั้นจงซานก็เอ่ยออกไปว่า,"ข้าได้ยินมาว่าท่านกำลังจะเดินทางไปยังภูเขาป้าเหมินเร็วๆนี้อย่างงั้นรึ?"

นางที่จ้องมองไปยังจงซาน,เป่ยชิงซือที่ตะหนักได้ว่าหลายชั่วโมงที่พวกเขาพูดคุยกันนี้,เรื่องที่กระอักกระอ่วนใจของนางนั้นได้สลายหายไป,นางที่รู้สึกประหลาดใจมากที่สามารถพูดคุยกับเขาได้นานขนาดนี้,หลังจากที่ตระกูลนางล่มสลาย,นอกจากอาจารย์ของนาง,กู่ซ่างจื่อ,นางไม่เคยคุยกับใครนานขนาดนี้.

"ภูเขาป้าเหมินคือหนึ่งในนั้น."เป่ยชิงซือที่กล่าวออกมาอย่างอ่อนโยน.

"หนึ่งในหลักฐานทั้งสามอย่างงั้นรึ?"จงซานที่ขมวดคิ้วและชำเลืองมองไปยังนาง.

"อืม"เป่ยชิงซือที่พยักหน้าอย่างนุ่มนวล.

เห็นเป่ยชิงซือพยักหน้ารับ,จงซานเองก็พักหน้าเช่นกัน,เขาไม่สามารถกล่าวอะไรกับนางได้อีกแล้ว,เขารู้ว่าไม่สามารถชักจูงนางได้,เขาเองก็ไม่สามารถไปเป็นเพื่อนนางได้ด้วย,ทางที่ดีที่สุดคือไม่ถามอะไรมากจนเกินไป,ไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้นางเสียใจขึ้นมาอีก.

"เฮ้อ."จงซานที่ถอนหายใจออกมาเบาๆ,เป็นการถอนหายใจเพื่อนาง.

เห็นจงซานที่ถอนหายใจ,ราวกับว่าทำให้หัวใจของเป่ยชิงซือรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา,นานเท่าไหร่แล้วที่นางไม่เคยรู้สึกเช่นนี้,ท้ายที่สุด,นางก็หันหน้ากลับ,พวกเขาทั้งคู่ที่เฝ้ามองดวงจันทร์ลับตาไป.
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


วันถัดมา,ตอนบ่ายแก่ๆ.

ในห้องโถง,สาวใช้ที่นำน้ำชามาเสริฟที่ด้านหน้าจงซาน,เทียนหลิงเอ๋อและเป่ยชิงซือ.

หลังจากผ่านคืนนั้นมา,เป่ยชิงซือตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเปิดใจยิ่งขึ้นและนางยังออกมาร่วมดื่มน้ำชากับพวกเขาด้วย,ส่วนจงซานที่เห็นนางเปลือยวันนั้น,นางก็ได้ลืมมันไปแล้ว,นอกจากนี้,ระหว่างนางและจงซานนั้น,ได้สร้างมิตรภาพขึ้นมาแล้ว,เป็นมิตรภาพที่พิเศษมาก,ดูเหมือนว่าจะเป็นเหมือนสหายเก่าทว่าก็มีความรู้สึกที่คลุมเครือบางอย่างอยู่ด้วยเช่นกัน,ดูไม่ค่อยชัดแจ้งนัก,อย่างไรก็ตาม,พวกเขาทั้งคู่ก็หาได้ใส่ใจ.

"ศิษย์พี่ชิงซือ,เมื่อวานท่านไปใหนอย่างงั้นรึ?ข้ามีเรื่องบางอย่างต้องการถามท่าน."เทียนหลิงเอ๋อที่กล่าวต่อเป่ยชิงซือ.

"หืม,ข้ามีเรื่องที่ต้องทำนิดหน่อยนะ."เป่ยชิงซือที่ตอบออกมาอย่างกระอักกระอ่วน.

"เช่นนั้นก็ดีแล้ว,พี่ชิงซือ,ข้ามีเรื่องต้องการถามท่าน,ท่านก้าวไปถึงระดับแกนทองได้อย่างไร?"เทียนหลิงเอ๋อสอบถาม.

"เอ๊ะ,เจ้าไปถึงระดับสิบเซียนแล้วแล้วรึ?"เป่ยชิงซือที่สอบถามออกไปด้วยท่าทางประหลาดใจ.

"ใช่แล้ว,ข้าอยากได้คำแนะนำวิธีที่จะก้าวไปถึงระดับแกนทองนะ,ข้าอยากจะทำให้เตี่ยประหลาดใจเมื่อข้ากลับไปยังสำนักเมื่อครบหนึ่งปี."เทียนหลิงเอ๋อที่กล่าวออกมาด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย.

จงซานนั่งอยู่ข้างๆ,เขาไม่ได้กล่าวสิ่งใด,เขายกน้ำชาขึ้นจิบเป็นระยะ,นับว่าผ่อนคลายเป็นอย่างมากที่ได้เห็นสาวงามทั้งสองคุยกัน.

นางที่มองไปยังเทียนหลิงเอ๋อด้วยความประหลาดใจครุ่นคิดพักหนึ่งก่อนที่จะกล่าวออกมาว่า,"เมื่อเจ้าก้าวไปถึงระดับสิบเซียนเทียน,ภายในร่างของเจ้าจุดชีพจรก็จะเปิดออกทั้งหมด,แกนแท้สามารถโคจรได้อย่างต่อเนื่อง,ตอนนี้,เจ้าจะต้องใช้จะชีพจรของแกนแท้,ทำการสร้างส่วนประกอบผสมปรุงแต่งมัน,ด้วยการเปิดจุดชีพจรทั้งหมดดูดซับพลังฟ้าดิน,สกัดกลั่นมัน,เพื่อสร้างเป็นแกนทอง."

ได้ยินคำพูดของเป่ยชิงซืออธิบาย,จงซานค่อนข้างสนใจทีเดียว,เขตแดนแกนทองรึ?ที่เรียกว่าแกนทองเพราะว่าผสมปรุงแต่งพลังต่างๆเข้ามาในร่างอย่างงันรึ?ปรุงแต่งร่างมนุษย์,ผสมมันด้วยพลังวิญญาณให้กลายเป็นแกนทองอย่างงั้นรึ?

"เช่นนั้น,หากว่าสามารถปรุงร่างของข้าให้กลายเป็นแกนทองได้?เช่นนั้นข้าก็จะมีระดับแกนทองอย่างงั้นรึ?"เทียนหลิงเอ๋อที่คิดใครครวญก่อนที่จะถามออกมา.

"ข้าคิดว่า,คงอีกไม่นานแล้วสิ,ที่พวกเราจะเรียกเจ้าว่าศิษย์น้อง."เป่ยชิงซือเผยยิ้มอย่างนุ่มนวล.

เป่ยชิงซือปรกติแล้วนางจะเป็นคนเย็นชาไร้ซึ่งอารมณ์,และไม่ค่อยยิ้มเลยแม้แต่น้อย,เมื่อเห็นนางยิ้มออกมา,แม้แต่เทียนหลิงเอ๋อยังตื่นตะลึงทีเดียว.

"พี่ชิงซือ,เวลาท่านยิ้มช่างงดงามนัก."เทียนหลิงเอ๋อที่เอ่ยปากชมทันที.

"หลิงเอ๋อ,เจ้ายอข้าเกินไปแล้ว."เป่ยชิงซือกล่าว.

"เป็นเรื่องจริงนะ!ถามจงซานดูซิหากว่าท่านไม่เชื่อข้า,ท่านงดงามจริงๆ."เทียนหลิงเอ๋อที่เอ่ยขึ้นมาทันที.

หลังจากที่เทียนหลิงเอ๋อชี้ไปยังจงซาน,เขาที่ไอออกมาเบาๆพร้อมกับพยักหน้า.

เห็นจงซานพยักหน้า,ใบหน้าของเป่ยชิงซืออดไม่ได้เลยที่จะมีสีแดงระเรื่อก่อนที่นางจะเปลี่ยนหัวข้อในทันที,"ไม่ว่าอย่างไร,การปรุงแต่งผสานพลังฟ้าดินนั้น,หลิงเอ๋อเจ้าจะต้องระวังให้ดี."

"หืม?"เทียนหลิงเอ๋อที่ตั้งใจฟังเรื่องทีเป่ยชิงซือกล่าว.

"การก้าวไปยังระดับแกนทองนั้นจะต้องเป็นไปอย่างช้าๆ,ไม่สามารถเร่งรีบได้,และระหว่างนั้นจะต้องไม่มีใครรบกวนด้วย,ทางที่ดีเจ้าควรที่จะรอกลับไปถึงสำนักไคหยางก่อนแล้วค่อยลอง."เป่ยชิงซือที่คิดชั่วครู่ก่อนที่จะกล่าวออกมา.

"อืม."เทียนหลิงเอ๋อพยักหน้า,รู้สึกผิดหวังในใจเหมือนกัน,ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถก้าวไปยังระดับแกนทองได้ก่อนที่จะกลับสำนักไคหยางสินะ.

เห็นท่าทางของเทียนหลิงเอ๋อแล้ว,เป่ยชิงซือสามารถคาดเดาเหตุผลได้,นางจึงได้กล่าวเสริมอีกว่า."การก้าวไปยังระดับแกนทองนั้น,ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น,ไม่เพียงแต่เจ้าจะต้องอยู่เพียงลำพังเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว,เจ้าเองจำเป็นต้องใช้ศิลาวิญญาณจำนวนมากในการทะลวงขั้นช่วยด้วย."

"ศิลาวิญญาณ?"จงซานที่สอบถามออกมาทันที,ภายในดวงตาของเขานั้นมีความอยากรู้ปรากฏขึ้นมา,มันเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเช่นกัน.

เห็นจงซานที่สนใจ,เป่ยชิงซือคิดอยู่ชั่วขณะก่อนที่จะกล่าวออกมาว่า"ใครก็ตามที่สามารถก้าวผ่านไปยังระดับแกนทองได้จะทำให้อายุไขยืดออกไปอีกสี่ร้อยปี,อย่างไรก็ตาม,การจะฝึกฝนเองก็ยากลำบากกว่าระดับเซียนเทียนหลายเท่าเช่นกัน,เป็นความยากที่เกินกว่าจะบรรยาย,เว้นแต่บุคคลพิเศษ,ด้วยจำเป็นที่ต้องเก็บเกี่ยวพลังฟ้าดินจำนวนมากมาใช้,หากสามารถยืมวิญญาณมาใช้ได้แล้วล่ะก็จะทำให้ง่ายกว่าที่จะทะลวงไปยังระดับแกนทอง."

"โอ้ว?"จงซานที่แสดงท่าทางสนใจเป็นอย่างมาก.

"ทั่วทั้งผืนฟ้าและปฐพีนั้น,สถานที่แต่ละแห่งนั้นมีพลังวิญญาณที่มีปริมาณแตกต่างกัน,เหมือนดังสำนักไคหยางของพวกเราที่มีพลังวิญญาณสะสมกันอยู่มาก,ทว่าเปรียบกับที่นี่ล่ะก็,มีพลังวิญญาณที่น้อยมากๆ,ซึ่งเป็นเรื่องยากมากๆที่จะสามารถทะลวงผ่านไปยังระดับแกนทองได้."

"อืม."จงซานที่นั่งฟังด้วยความสนใจ.

"จะให้กล่าวโดยปรกติล่ะก็,หากไม่มีสถานที่ยอดเยี่ยม,การจะก้าวไปยังระดับแกนทองก็ค่อนจำกัด,เพราะเช่นนั้นในสถานที่ทั่วไปนั้นผู้ฝึกตนส่วนมากจึงมีอายุเพียงแค่สี่ร้อยปี,อย่างไรก็ตาม,ยังมีสิ่งของอย่างหนึ่งที่บรรจุพลังวิญญาณเอาไว้,ซึ่งเราเรียกว่าศิลาวิญญาณ."เป่ยชิงซือกล่าว.

จงซานที่ขมวดคิ้วไปมาขณะที่เขารับฟัง,แม้ว่าเทียนหลิงเอ๋อเองจะรับรู้มาบ้าง,ทว่านางก็ไม่เข้าใจนัก,ทำให้นางอดทนฟังด้วยเช่นกัน.

เห็นจงซานแสดงท่าทางสนใจเป็นอย่างมากแล้ว,เป่ยชิงซือเองก็ต้องการอธิบายให้ฟังด้วยเหมือนกัน.

"ศิลาวิญญาณนั้น,คือปราณจิตวิญญาณที่รวมตัวกันขึ้นมาเป็นศิลาที่พิเศษ,ยิ่งมีความโปรงใสเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นศิลาวิญญาณที่สมบูรณ์,หากไม่สมบูรแล้วก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน,ศิลาวิญญาณนั้นมีอยู่ด้วยกันสองประเภท,หนึ่งคือศิลาวิญญาณหยางซึ่งจะมีรังสีสีแดงแผ่ออกมา,ส่วนอีกประเภทคือศิลาวิญญาณหยิน,ซึ่งจะมีรังสีสีน้ำเงินแผ่ออกมา,"เป่ยชิงซือกล่าว.

ด้วยการสะบัดมือหนึ่งครั้ง,ก็ปรากฏศิลาสองก้อนขึ้น,หนึ่งมีสีน้ำเงินและอีกหนึ่งมีสีแดง,นางที่วางเอาไว้ด้านหน้าของจงซาน.

จงซานที่หยิบศิลาก้อนหนึ่งขึ้นมา,เขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณจำนวนมากที่อัดแน่นอยู่ด้านใน,ราวกับว่ามันจะเอ่อล้นกระจายออกมาเลยทีเดียว.
เทียนหลิงเอ๋อเองก็หยิบอีกก้อนขึ้นมาตรวจสอบเช่นกัน.

"ทั้งสองก้อนนี้คือศิลาวิญญาณหยิน,และศิลาวิญญาณหยาง,หากจะกล่าวอีกอย่างล่ะก็,หากว่ามีศิลาทั้งสองนี้ก็จะสามารถดูดซับปราณวิญญาณได้อย่างต่อเนื่อง,ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับผู้ฝึกได้."เป่ยชิงซือที่กล่าวอธิบาย.

"ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกตนที่ต้องการก้าวไปยังระดับแกนทองต่างก็ต้องการศิลาวิญญาณหรอกรึ?"จงซานที่ขมวดคิ้วขณะคิด.

"ถูกแล้ว,ตราบเท่าที่พบเหมืองศิลาวิญญาณล่ะก็,พวกเขาต่างก็แก่งแย่งและสังหารกันอย่างแน่นอน."เป่ยชิงซือที่กล่าวตอบ.

"อืม."จงซานพยักหน้า.

"ในโลกการฝึกตนนั้น,ศิลาวิญญาณนั้นยังใช้เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนกับทุกสิ่งที่เจ้าต้องการได้อีกด้วย"เป่ยชิงซือกล่าว.

"อืม,หากเป็นไปอย่างที่ท่านพูดล่ะก็,ตราบเท่าที่ใครก็ตามต้องการไปถึงระดับแกนทอง,ก็จำเป็นต้องใช้ศิลาวิญญาณ,นั่นก็หมายความว่าศิลาวิญญาณนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ."จงซานที่พยักหน้าขณะที่เขากล่าว,อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับการค้า,จงซานถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งทีเดียว.

"ถูกแล้ว,ศิลาวิญญาณนั้นมีมูลค่าเนื่องด้วยมีพลังวิญญาณบรรจุอยู่ด้านใน,และยังแบ่งออกตามความเข้มข้นตามสีของมัน,มีอยู่ด้วยกันสามระดับ,ศิลาวิญญาณระดับสูงนั้นจะมีความเข้มข้นสูงสุด,และศิลาระดับทั่วไปและระดับต่ำก็จะมีสีจางลงไป."เป่ยชิงซือกล่าว.

"อืม?แล้วมีมูลค่าต่างกันอย่างไร?"

"ศิลาวิญญาณระดับสูงนั้นเทียบได้กับสิบศิลาวิญญาณทั่วไป,และศิลาวิญญาณทั่วไปเทียบได้กับสิบศิลาวิญญาณระดับต่ำ."เป่ยชิงซือกล่าว.

"อืม."จงซานพยักหน้า,และจดจำข้อมูลนี้ไว้.

"ศิษย์พี่หญิง?หลิงเอ๋อ?ศิษย์พี่ใหญ่มาถึงแล้ว."หยุนเฉียนที่กล่าวออกมาจากด้านนอก.

การสนทนาของพวกเขาก็หยุดลง,จงซานที่ขมวดคิ้วไปมา,ทว่าก็ยืนขึ้น,หลิงเอ๋อที่วิ่งออกไปด้านนอกทันทีที่นางได้ยิน.


เป่ยชิงซือและจงซนที่จ้องมองหน้ากันและกัน,พร้อมกับเดินออกไปนอกห้องโถง.


ที่มาจากhttps://lnmtl.com/novel/immortality

#นิยาย เรื่องอมตะ #Immortality#นิยายแปลไทย
Author(s)


สนใจสนับสนุนพวกเรา,เข้าร่วมกลุ่ม VIP ====> Click

***เว็ปฟรีอัพ สองวันหนึ่งตอน
***กลุ่มลับ อัพ 2-3 ตอนต่อวัน.

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น