วันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2561

Immortality Chapter 10 Kai Yang Sect

Immortality Chapter 10 Kai Yang Sect

นิยาย เรื่อง อมตะ ตอนที่ 10 สำนักไคหยาง


บทที่ 10 สำนักไคหยาง



วิชาฝึกร่างกายาเทพอสูรอย่างงั้นรึ?

เมื่อมองเห็นสิ่งดังกล่าว,ดวงตาของเหล่าเยว่จื่อจงก็เปล่งประกายขึ้นมาในทันที.

วิชาฝึกร่างกายาเทพอสูร,มีอักขระสลักเอาไว้อยู่ราวๆ 30,000 ตัว,เหล่าเยว่จื่อจงได้ทำการศึกษาจดจำมันเอาไว้เหมือนกับเคล็ดวิชาหงหลวนเทียน,เขาได้ใช้เวลาตลอดห้าวันในถ้ำแห่งนี้,ก่อนที่จะสามารถจดจำมันได้ขึ้นใจ.


เคล็ดวิชาฝึกร่างกายาเทพอสูร,นั้นไม่เชิงว่าเป็นวิชาบำเพ็ญหลักแต่อย่างใด,ทว่าดูคล้ายกับว่าเป็นวิชาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพวิชาอื่นๆซะมากกว่า.

พลังปราณ,พลังกาย,สามารถทำให้หนาแน่นทรงพลังได้ด้วยการใช้วิชากายาเทพอสูร,เพียงแค่ใช้ทักษะดังกล่าว,ภายในเวลาสองชั่วโมง,วิชาฝึกตนนั้นๆ,จะถูกเพิ่มทักษะความสามารถขึ้นอีกหลายเท่า.

มีด้วยกันทั้งหมด 12 ขั้น,หากว่าสามารถสำเร็จได้ถึง 12 ขั้น,จะสามารถเพิ่มพลังเพิ่มขึ้นได้ถึง 13 เท่า,นับว่าเป็นทักษะที่ไม่ธรรมดาเลย?

หากแต่หลังจากผ่านสองชั่วโมงไปแล้ว,ร่างกายจะเข้าสู่ภาวะอ่อนแอ,หนึ่งวันถึงห้าวันถึงจะฟื้นฟู,ระหว่างนี้พลังทั้งหมดจะลดลงครึ่งหนึ่งจากสภาวะปกติ,หรือบางครั้งก็ลดลงเพียงแค่สิบเปอร์เซ็นจากสภาพปรกติ.

โดยปรกติเมื่อยู่ในภาวะเหนื่อยล้า,ซึ่งจะต้องพักผ่อนเพื่อฟื้นตัว,ทว่าด้วยวิชากายาเทพพอสูรนี้แตกต่างจากการเหนื่อยล้าปกติ,เพระทักษะกายาเทพอสูรนั้นจะทำให้การเผาผลาญพลังงานเร็วกว่าปกติ,เป็นการกลั่นพลังทั่วร่างรีดเร้นให้ร่างกายก้าวไปถึงศักยภาพสูงสุด,เหมือนกับร่างกายของเซี่ยงเฉินก่อนหน้านี้,ทำให้เหล่าเยว่จื่อจงรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย.

นี่คือวิชากายาเทพอสูรอย่างงั้นรึ?

อีกอย่างยังเป็นวิชาที่ไม่ขัดแย้งกับวิชาบำเพ็ญอื่นๆอีกด้วย,ดังนั้นจึงสามารถฝึกควบคู่ร่วมกับวิชาอื่นๆทุกวิชา?ไม่ว่าอย่างไรเมื่อเขาจดจำทุกอย่างเอาไว้แล้ว,เขาจะทำอย่างไรดีกับผ้าคลุมสีดำนี้? ส่งมอบต่อไปยังคนอื่นอย่างงั้นรึ? น่าหัวเราะ,ต้องทำลายมันอย่างแน่นอน.

แล้วจะทำลายอย่างไรล่ะ?แม้แต่ปราณหยินยังไม่สามารถทำลายมันได้เลย,ต้องทำอย่างไรดี?

ไม่ว่าอย่างไรเหล่าเยว่จื่อจงก็คิดว่าน่าจะลองดู,เขาที่เริ่มจุดไฟและทำการเผาผ้าคลุมสีดำในทันที.

"ซี่ๆๆๆ..."

ผ้าคลุมสีดำไม่ไหม้อย่างงั้นรึ?

ด้วยการเฝ้ามองอย่างระมัดระวัง,เหล่าเยว่จื่อจงราวกับว่าจะตระหนักถึงบางอย่างได้,ดูเหมือนว่าแม้แต่ปราณหยินยังไม่สามารถทำลายได้,เช่นนั้นปราณหยางจะทำลายง่ายๆได้อย่างไร,หนำซ้ำยังเป็นเพียงเปลวเพลิงอันกระจ่อยร่อยอีกด้วย?

แต่แล้วดูเหมือนว่าผ้าคลุมนั่นกลับค่อยๆลุกไหม้ขึ้นช้าๆอย่างคาดไม่ถึง,ก่อนที่จะค่อยๆเปลี่ยนเป็นขี้เถ้า,ก่อนที่จะปรากฏไข่มุกที่ส่องประกาย.

เขาจ้องมองออกไปพร้อมกับเก็บไข่มุกราตรีที่ส่องสว่างวับวาว,ไร้ซึ่งสิ่งเจือปน,เป็นไปได้ว่านี่คือสิ่งที่เซี่ยงเฉินและพรรคพวกของพวกเขานำมา.


เหล่าเยว่จื่อจงเดินออกจากปากถ้ำ,ก่อนที่จะชำเลืองมองกลับมาเพิ่งพิศอยุ่ชั่วขณะ,เขาไม่สามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้แล้ว,หากคิดใคร่ครวญให้ดี,หากว่ายังมีคนอื่นๆอีกล่ะ,เขาจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย.

เขาที่จดจำก้อนหินและตำแหน่งดังกล่าวเอาไว้ในใจ,ก่อนที่จะข้ามเนินเขานี้ไปพร้อมกับเดินทางไปยังทิศเหนือต่อ.

ก่อนที่เขาจะค้นหาหุบเขาที่เหมาะสมและเริ่มฝังไข่มุกราตรีเอาไว้ในพื้นที่ลับ,ที่จริงเขาไม่สามารถบอกได้ว่ามันล้ำค่าหรือไม่อย่างไร,ทว่าการเก็บไว้กับตัวมันน่าหวากลัวเกินไปซึ่งอาจจะถูกคนอื่นพบเจอได้ง่าย,ไว้เขาทรงพลังมีความแข็งแกร่งพอค่อยกลับมานำมันกลับไปก็ยังไม่สาย.

เหล่าเยว่จื่อจงได้พบเข้ากับสถานที่เงียบสงบและเริ่มฝึกฝนวิชากายาเทพอสูร.

เป็นเหมือนกับเคล็ดวิชาหงหลวน,ในขั้นแรกนั้นนับว่าฝึกฝนได้อย่างง่ายได้,หลังจากที่ผ่านมาหนึ่งเดือน,เขาก็สามารถฝึกฝนมันได้สำเร็จ,ทว่าเหล่าเยว่จื่อจงนั้นไม่ได้ต้องการทดสอบมันในทันที,มันอันตรายเกินไปหากว่าสัตว์อสูรมาพบกับเขาขณะที่กำลังฟื้นพลังล่ะ?ดังนั้นการจะใช้งานนั้นจำต้องคิดใคร่ครวญให้ดี.

สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้คือต้องเดินทางไปให้ถึงสำนักไคหยาง.

เหล่าเยว่จื่อจงที่ตอนนี้มุ่งตรงไปยังสำนักไคอยางในทันที,ระว่างทางนั้นเขาได้พบเข้ากับสัตว์อสูรด้วย,ทว่าเป็นโชคดี,เขาที่พบเข้ากับเสือดาวทมิฬ,ด้วยการใช้ทักษะกายาเทพอสูร,เพื่อเพิ่มกำลังกายภายในสองชั่วโมงและยังใช้หมอกกำหนัดหงหลวนมอมเมาอีกที,ทำให้เขาสามารถหนีมันพ้นได้.

หลังจากที่ใช้วิชากายาเทพอสูรแล้ว,ทำให้ร่างกายของเขาอ่อนแอลงหนึ่งวัน,ทว่า,โชคยังดีที่สามารถหาที่หลบและพักฟื้นได้.

ท้ายที่สุดหลังจากนั้นหนึ่งเดือน,เหล่าเยว่จื่อจงที่ร่างกายขาดวิ่น,พร้อมกับเป้ใบเล็ก,ก็เดินทางมาถึงสำนักไคหยางในที่สุด.

สำนักดังกล่าวนั้นตั้งอยู่บนเทือกเขาขนาดมหึมาล้อมรอบไปด้วยเมฆและหมอก.

ไม่สามารถที่จะมองลึกเข้าไปข้างในได้อย่างแน่ชัด,ดูเหมือนว่าจะมีค่ายกลที่ทรงพลังล้อมรอบป้องกันเอาไว้.

ประตูด้านนอกนั้น,มีแผ่นศิลาขนาดใหญ่ขวางกัน,บางทีอาจจะเรียกว่ามันตั้งผ่านเนินหินขนาดมหึมานี้,โดยเนินหินขนาดมหึมาได้ถูกหั่นออกเป็นสองท่อนอย่างราบเรียบ,มีอักขระสามตัว,พร้อมกับภาพสลักมังกรวารีที่กำลังใต่ขึ้นไปบนฟ้าและหงสาเพลิงที่กำลังสะบัดปีก.เต็มไปด้วยพลานุภาพที่ยิ่งใหญ่.

"สำนักไคหยาง."

นี่คือประตูทางเข้าของสำนักไคหยาง.

แผ่นหินใหญ่ยักษ์นั่นตั้งตระหง่านขวางทางเข้า,ถึงแม้ว่าจะเป็นสัตว์อสูรที่ทรงพลังก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้.

ข้างๆแผ่นศิลาขนาดใหญ่นั้น,มีกระท่อมมุงจากอยู่ไม่ไกล,มีสวนผังปลูกอยู่หน้ากระท่อม.

ขณะที่เหล่าเยว่จื่อจงจ้องมองไปยังทิศทางดังกล่าว,ประตูของกระท่อมก็เปิดออกมา,ชายชราหนวดขาวที่จ้องมองแล้ว,ดูแก่กว่าเหล่าเยว่จื่อจงมากค่อยๆเดินออกมาจากกระท่อมดังกล่าว.

ขณะที่เขาจ้องมองมายังเหล่าเยว่จื่อจง,ดวงตาที่ซับซ้อนผสมปนเป ปรากฏขึ้นในสายตาของเขาก่อนที่จะเดินเข้ามาหาอย่างช้าๆ.

"เจ้าต้องการอะไรอย่างงั้นรึ?"ชายชราผมขาวที่สอบถามออกมาอย่างนุ่มนวล.

"เสี่ยวจื่อ,มีนามว่าจงซาน,คารวะผู้อาวุโส."เหล่าเยว่จื่อจงที่กล่าวออกไปในทันที.

"จงซาน?"ชายชราเริ่มครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ,เขาไม่สามารถนึกได้เลยว่าจงซานเป็นใคร,เขารู้จักจงซานมาก่อนอย่างงั้นรึ?.

"ข้าใคร่ขอถามอาวุโส,ไม่ทราบว่าท่านคือสมาชิกของสำนักไคหยางอย่างงั้นรึ?"จงซานถามออกมาด้วยความเคารพ.

"ถูกแล้ว,ข้าคือผู้เฝ้าประตูของสำนักไคหยาง,เจ้าต้องการอะไรอย่างงั้นรึ?"ชายชราผมขาวกล่าวออกมาด้วยโทนเสียงไร้อารมณ์,ไร้ซึ่งความสนใจใดๆต่อจงซาน.

สัมผัสได้ถึงท่าทางของชายชราผมขาวที่มีต่อเขา,จงซานรู้สึกไม่ดีนัก,พลังฝึกตนของเขานั้นอ่อนแอกว่าผู้ฝึกตนทั่วไปมาก,ทว่าก็ไม่น่าจะต่างจากผู้ฝึกตนระดับต้นมากมายขนาดนั้น.

55 ปีกับการทำธุรกิจในโลกใบนี้,จงซานสามารถที่จะรับรู้ได้ถึงนิสัยของคนมากมาย,เขาพอจะอ่านใจคนอื่นๆได้,ท่าทางของมนุษย์เกือบทุกคน,ในเวลานี้,เขาเข้าใจได้ดี,หากอาวุโสผู้นี้เป็นผู้พิทักษ์ประตู,ไม่มีทางที่เขาจะแสดงท่าทางเช่นนี้.

"เสี่ยวจื่อ,ขอถามนามที่ทรงเกียรติของอาวุโสได้หรือไม่?"จงซานสอบถาม.

"นามอันทรงเกียรติ? ข้ามีนามอันทรงเกียรติด้วยอย่างงั้นรึ?ข้าที่ล้มเหลวในการฝึกฝนจวบจนได้มาถึงจุดสิ้นสุดของชีวิตแล้ว,ข้ามาเป็นผู้พิทักษ์ประตูนั้นก็เพื่อพักผ่อนชีวิตในบั้นปลาย,เจ้าเรียกข้าว่า โฉวซาน ก็แล้วกัน"ชายชราผมขาวเผยยิ้มออกมาอย่างนุ่มนวล.
守山Shǒushān Mountain Protector ผู้พิทักษ์แห่งขุนเขา.

"อาวุโสโฉวซาน,เสี่ยวจื่อจงซานนั้นได้รับการไหว้วานจากอาวุโสของสำนักไคหยานคนหนึ่งให้มาส่งชิ้นส่วนของหยก,เขาได้กล่าวว่าโปรดมอบมันให้กับประมุขของสำนัก,ได้โปรดอาวุโสส่งข้อความนี้ได้หรือไม่?"จงซานกล่าว.

"ชิ้นส่วนหยกอย่างงั้นรึ?" โฉวซานขมวดคิ้วสงสัย.

จงซานเร่งรีบนำชิ้นส่วนหยกที่อยู่ในอกเสื้อออกมาในทันที.

ขณะที่โฉวซานเห็นชิ้นส่วนของหยกนั้น,ดวงตาที่ขุ่นมัวของเขาก็ใสกระจ่างขึ้นมาทันที,เขาที่ยื่นมือออกมาคว้ามันเอาไปไว้ในมือ,ทว่าหลังจากนั้นหลายวินาที,สายตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นดำมืดและพยักหน้าให้กับจงซาน.

"ข้าจะนำชิ้นส่วนหยกนี้ไป,พร้อมกับไปแจ้งข่าวด้านใน,"โฉวซานพยักหน้าให้.


"ครับ,อาวุโส"จงซานที่ตอบรับในทันที.

ท่าทางและสายตาของโฉวซานที่เปลี่ยนไปในทันที,ไม่รอดพ้นจากจงซาน,ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้แสดงมันออกมา,ทว่าก็พอจะให้จงซานคาดเดาเรื่องที่เกิดขึ้นได้.

โฉซานที่ถือชิ้นหยกและเดินตรงไปยังเนินเขา,จากนั้น,พริบตาเดียว,ก็หายไปลับตาจงซานไป,เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาเข้าไปในค่ายกล.

จงซานที่รอคอยอยู่ด้านนอกนั้นอยู่ไม่นานนัก.

ทันใดนั้น,ก็มีคนสามคนที่เหินออกมาจากค่ายกลขนาดใหญ่นั่น.

พวกเขาที่เหินลอยตัวอยู่บนเมฆ,หนึ่งในนั้นที่อยู่ตรงกลางเป็นชายวันกลางคนที่มีอายุราวๆหกสิบ,สวมชุดคลุมนักพรต,ถือชิ้นส่วนหยกในมือ,อีกคนด้านซ้ายนั้นเป็นหญิงสาวในชุดสีขาว,แม้ว่านางจะมีอายุทว่าก็ยังดูงดงาม,ส่วนทางขวานั้นเป็นชายวัยกลางคนที่มีคิ้วตรงดิ่ง,ดวงตาเป็นประกาย.

คนทั้งสามที่ออกมาจากค่ายกล,พร้อมกับชำเลืองมองมายังจงซานและขมวดคิ้วไปมา.


"เสี่ยวจื่อ,จงซาน,คารวะอาวุโสทั้งสาม,"จงซานเร่งรีบคำนับพวกเขาทันที.

"เจ้าเป็นคนที่นำชิ้นส่วนของหยกมาอย่างงั้นรึ?"ชายชราที่อยู่ตรงกลางถามออกมา.

"ครับ,อาวุโส."จงซานตอบรับในทันที.

"อืม,เช่นนั้นเจ้าเข้ามาในห้องโถงสำนักไคหยางกับข้า."ชายชรากล่าว.

ชายชราที่สะบัดมือเบาๆ,ไร้ซึ่งการบอกกล่าวก็ปรากฏเมฆขาวขึ้นที่เท้าของจงซาน,พร้อมกับพาจงซานเข้ามาในค่ายกลพร้อมกับพวกเขาทั้งสามคน.

เมฆสีขาวที่พาเขาลอยไปยังเส้นทางที่แปลกประหลาด,ขณะที่พาเขาเหินไปนั้น,สิ่งที่มองเห็น,ไม่ได้เป็นภาพฉากของเทือกเขาแห่งหนึ่งแล้ว,ซึ่งแตกต่างจากที่มองเห็นจากข้างนอกมากราวกับว่ามันเป็นแค่เพียงภาพลวงตา.

ข้างในหุบเขานี้,มีน้ำตก,ทะเลสาบ,ป่าไผ่,บ้านเรือน,สิ่งก่อสร้างต่างๆมากมายภายในนี้.

พวกเขาที่เหินตรงไปยังยอดเขาด้วยความเร็ว,ที่บนยอดเขานั้น,มีพื้นที่สีเหลี่ยมขนาดใหญ่และมีตำหนักที่โอ่อ่าอยู่ด้วย.

พวกเขาทั้งสี่ที่เหินลอยเข้าไปในตำหนัก,ก่อนเข้าไปในตำหนักนั้นจงซานที่มองเห็นป้ายโลหะที่หน้าตำหนักสลักเอาไว้ว่า.

"ห้องโถงไคหยาง."


ข้างในนี้เป็นห้องโถงเดียวที่มีขนาดใหญ่เป็นอย่างมาก.


ที่มาจากhttps://lnmtl.com/novel/immortality

#นิยาย เรื่องอมตะ #Immortality#นิยายแปลไทย
Author(s)


 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น