วันจันทร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2561

Miracle Throne Chapter 131 Let you lose together

Miracle Throne Chapter 131 Let you lose together

นิยาย บัลลังก์แห่งปาฏิหาริย์ ตอนที่ 131 แพ้รวดเดียว


บทที่ 131 แพ้รวดเดียว



ในเวลาเดียวกันนี้,เหล่าคนจากสำนักเมฆาเริ่มที่จะเงียบขรึมและตระหนักได้ถึงบางอย่าง,พันธมิตรนักวิชาการอันดับหนึ่งของรัฐกลางอย่างพวกเขากำลังหวาดกลัวที่จะท้าทายกับผู้เยาว์คนนี้!เด็กหนุ่มที่สวมชุดผ้าฝ้ายสุดแสนจะธรรมดาที่ใครๆต่างก็ดูหมิ่นดูแคลน,คาดไม่ถึงเลยว่าจะทำให้ผู้เชี่ยวชายมากมายกว่าร้อยคนถูกกดดันจนหายใจแทบไม่ออก!

เหล่าผู้เยาว์ของตระกูลหยุนต่างเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก,เหล่านักวิชาการของสำนักเมฆาที่ตระกูลหยุนรับมานั้นล้วนแล้วมาจากตระกุลใหญ่ไม่มีสักคนที่เป็นคนธรรมดาทั่วไป!


เพราะด้วยเหตุนี้,พวกเขาทุกคนในเวลาปกติแล้วจะมองคนทั่วไปด้วยท่าทางเหยียดหยามอยู่ตลอดเวลา!

คิดอยู่ตลอดว่าพวกเขามีความสามารถที่เหนือกว่าคนอื่นๆ,และไม่มีใครอีกด้วยที่จะกล้าเมินพวกเขาที่เป็นผู้เยาว์ของตระกูลหยุน!

แม้ว่าพวกเขาจะได้พบเขากับผู้เชี่ยวชาญชั้นสูงทั่วไป,คนเหล่านั้นยังไม่กล้าที่จะดูหมิ่นพวกเขาเลย,ด้วยตัวตนของนักวิชาการแต่ละคนย่อมมีความเชี่ยวชาญในแต่ละศาสตร์ต่างๆที่แตกต่างกันอยู่แล้ว,และนั่นจึงทำให้พวกเขายิ่งแสดงท่าทางภาคภูมิและหยิ่งยะโสเป็นอย่างมาก.

อย่างไรก็ตาม,ในเวลานี้ความรู้สึกเหล่านั้นกำลังจะวิ่งหายไป,ทั่วทั้งร่างที่เคยยืดอกอย่างเฉิดฉาย,รอยยิ้มที่สดใสกระหยิ่มยิ้มย่องบนใบหน้าของพวกเขากำลังจะหายไปแล้ว.

เหล่านักวิชาการของสำนักเมฆานั้นกำลังอยู่ในช่วงวิกฤติ,เหงื่อที่ไหลออกมาเปียกโชก,พูดคุยปรึกษากันด้วยเสียงเบาๆ,ไม่กล้าที่จะหายใจแรงในสถานการณ์เช่นนี้,ราวกับว่ากำลังกลัวที่จะทำให้บรรยากาศหนักอึ้งขึ้นกว่าเดิม.
 ใครกันที่กำลังย่ำแย่ตอนนี้,เพียงแค่มองก็รู้ได้แล้ว.
 เป็นเช่นนี้ตั้งแต่เริ่มแล้ว!

ในความคิดของเหล่าผู้เยาว์ตระกูลหยุนตอนนี้ราวกับว่าโลกทั้งใบได้พลิกกลับด้านไปแล้ว,เหล่าผู้เชี่ยวชาญที่เคยจ้องมองเหยียดหยันคนอื่นๆตอนนี้,กำลังต่อสู้กับผู้เยาว์ที่แต่งตัวยังกับขอทานข้างถนน,และที่ไม่น่าเชื่อในตอนนี้,พวกเขาที่รวมหัวกันหลายคน,กลับไมทำให้สถานการณ์ของพวกเขาดีขึ้นและ,แทบจะไม่มีวีแววว่าจะกระเตื้องขึ้นมาแม้แต่น้อย.
"ในเมื่อเจ้าบอกว่าเชี่ยวชาญรอบรู้ไปหมด,เช่นนั้นข้าขอถามเจ้า"ลีไทวที่กล่าวออกมาอย่างขึงขัง"ทวีปแห่งนี้ผ่านมาหลายยุคแล้ว,เจ้าจงจำแนกยุคต่างๆที่ผ่านมาว่ามีอะไรบ้าง.,"

คำถามนี้ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนง่ายๆ.

ความเป็นจริงแล้วเป็นเรื่องที่ยากที่จะตอบออกไปได้.

คำตอบที่บันทึกเอาไว้นั้นยังมีการโต้แย้งและขัดกันไปมาไม่หยุด,นั่นก็หมายความว่าไม่ว่าฉู่เทียนจะตอบสิ่งใดมา,ลีไทวจะสามารถหาเหตุผลมาโต้แย้งเขาได้นั่นเอง.

ฉู่เทียนที่เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย,กล่าวออกไปอย่างวางใจ.

"นับตั้งแต่กำเนิดโลกใบนี้,ถูกแบ่งออกเป็นสี่ยุคสมัย."

"ในยุคแรกเริ่มของโลกใบนี้,มีอายุอยู่ราวๆล้านล้านปี,ทวีปต่างๆถูกสร้างขึ้นมานับตั้งแต่ยุคเริ่มต้นแล้ว,ในยุคแรกเริ่มนั้นเป็นโลกแห่งความตายไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่เลย,อาจจะบอกได้ว่าเป็นช่วงที่สำคัญที่กำลังจะก่อเกิดวัฏจักร,ในยุคแรกเริ่มนั้นยังแบ่งออกออกเป็นเก้าช่วง,ประกอบด้วย...."

นับว่าเป็นเรื่องเล่าที่ยืดยาวที่ฉู่เทียนได้กล่าวออกมา.

ในอีกเก้าช่วงในยุกแรกเริ่มนั้น,เกี่ยวกับรูปแบบการวิวัฒนาการ,และผลสรุป,ต่างก็มีเหตุผลมารองรับที่ชัดเจนในการอธิบาย.

ถึงกับทำให้ลีไทวนั้นอึ้งจนอ้าปากค้างทีเดียว.

ทันใดนั้นเขาก็พบว่าเขานั้นไม่สามารถที่จะหาเหตุผลมาโต้แย้งได้เลยแม้แต่จุดเดียว.

คำตอบของฉู่เทียนนั้นมันช่างมีน้ำหนักสอดคล้องกับเหตุผลที่เขาอธิบาย,จนสามารถที่จะแก้ไขความลึกลับที่มีมากมายที่มีมาก่อนนี้จบครบถ้วนเลยก็ว่าได้.

"หลังจากยุคแรกเริ่มของโลกได้สิ้นสุดลง,จากนั้นทวีปก็เขาสู่โลกบรรพกาลอันยิ่งใหญ่."

"ยุคแห่งบรรพกาลอันยิ่งใหญ่นั้น,ดำเนินมากว่าพันล้านปีหลักจากยุคสร้างโลกสิ้นสุด,กฏและวัฎจักรต่างๆเริ่มถูกสร้างขึ้นมาวันแล้ววันเล่า,จนก่อเกิดสิ่งมีชีวิตขึ้นมา,มีตำนานเกี่ยวกับเทพอสูรโบราณมากมาย,เทพเจ้าโบราณและเทพสัตว์อสูร,ก็เกิดขึ้นในยุคสมัยนี้,โลกบรรพกาลอันยิ่งใหญ่นั้นยังแบ่งออกเป็นห้าช่าง...."

"ยุคโลกบรรพกาลนั้น,บางทีอาจจะมีอายุราวๆ 1 ล้านปีผ่านมาแล้ว,เป็นยุคประวัติศาสตร์ที่รุ่งเรื่องที่สุด,ทุกทวีปโบรากาลที่ยิ่งใหญ่นั้นมีสิ่งมีชีวิตมากมายราวกับดวงดารา,มีอารยธรรมที่โดดเด่นรุ่งเรื่องมาก,มีเผ่าพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตมากมายนับไม่ถ้วนเกิดขึ้นมาไม่หยุดหย่อน,หลากหลายเผ่าพันธ์ประกอบด้วย..."

"เมื่อยุคบรรพกาลที่ยิ่งใหญ่ได้พัฒนาไปจนถึงขีดสุด,ย่อมต้องมาถึงยุคแห่งการล่มสลาย,เพราะว่าทั่วทั้งทวีปนั้นมีขนาดที่ใหญ่เกินไป,แม้ว่าจะรุ่งเรื่องจนถึงขีดสุดแต่ก็คงอยู่ได้ไม่กี่ปีเท่านั้น,ส่วนสาเหตุนั้นมีมากมายหลากหลายเป็นไปตามกฏทั่วไป,เมื่อมีขนาดใหญ่มีคนมากมายหลายแบบย่อมสร้างความขัดแย้งระหว่างกันและกันไปทั่วทั้งทวีป,มันลุกลามไปจนไปถึงการล่มสลาย!"

"ในที่สุดแล้วยุคบรรพกาลที่ยิ่งใหญ่ก็ระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ,มันถูกแยกออกจากันกลายเป็นทวีปต่างๆที่แยกออกจากันเป็นอิสระต่อกัน,พวกเขาสร้างกาลอากาศเป็นของตัวเอง,สร้างโลกด้วยกฏของพวกเขาเอง,แต่ละทวีปจึงมีความอิสระไม่ยุ่งเกี่ยวกันและกัน,นับตั้งแต่นั้นมายุคแห่งเทพอสูรก็ได้ค่อยๆหายไป..."
"......”

ฉู่เทียนได้เล่าถึงวิวัฒนาการของโลกใบนี้,เหตุการณ์สำคัญๆทุกเหตการณ์นั้นได้ถูกอธิบายออกมาอย่างชัดเจน.

เหล่าผู้เยาว์หนุ่มสาวของตระกูลหยุนต่างล้อมรอบเข้ามาฟังด้วยท่าทางตื่นตะลึง.

เพราะว่าเนื้อหาที่พวกเขาได้ฟังนั้นเป็นเรื่องแปลกใหม่ดูน่าสนใจเป็นอย่างมาก,เป็นเรื่องที่พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนจากที่ใหนเลย.

ลีไทวที่ตื่นตะลึง,การกำเนิดโลกและพัฒนาการของโลกใบนี้,ที่มีข้อมูลและบันทึกเอาไว้นั้นเป็นเพียงความรู้พื้นฐานทั่วไปเท่านั้น,ทว่าไม่เคยมีใครสามารถที่จะแยกแยะออกเป็นยุคและขั้นตอนของวิวัฒนาการเอาไว้เลย,นอกจากนี้สิ่งที่ฉู่เทียนกล่าวออกมามันกับชัดเจนเป็นอย่างมาก.

"ถ้าเจ้าบอกว่าทวีปของพวกเขาในตอนนี้เกิดจากทวีปจากยุคบรรพกาลที่ยิ่งใหญ่ระเบิดออกมาและก่อร่างสร้างขึ้นมาใหม่"หญิงสาวคนหนึ่งที่สวมชุดของตระกูลหยุนอดไม่ได้เลยที่จะสอบถามออกไป,"เช่นนั้นแล้วส่วนของทวีปอื่นๆยังคงหลงเหลืออยู่หรือไม่?"

ฉู่เทียนที่กวาดตามองอย่างสงบไปยังกระดานอาคมอักขระและจากนั้นก็เริ่มเขียนอักษรรูนลงไปอย่างใจเย็น,พร้อมกับฟังคำถาม,เขายังคงตอบอย่างสุขุม"แน่นอนว่าทวีปอื่นๆก็ยังคงอยู่,แม้ว่าทวีปโบราณจะล่มสลายก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะหายไป,ข้าเชื่อว่าสักวันหนึ่งพวกเขาจะสามารถทะลวงมิติที่ได้กั้นขวางเอาไว้และสามารถเชื่อมต่อทวีปอื่นๆเขาหากันได้,พวกเราจะสามารถสำรวจและค้นหาทรัพยากรที่ไม่เคยมีและค้นพบเหล่าสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์อื่นที่ลึกลับในทวีปอื่นๆได้อย่างแน่นอน!"

เหล่าผู้เยาว์ของตระกูลที่ได้ยินต่างก็ตื่นตะลึงไปตามๆกันไป!

นี่เป็นเรื่องจริงรึ?

ทวีปแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาลราวกับว่ายังหาขอบเขตไม่พบ,นอกจากนี้ยังอยู่ในช่วงเจริญเติบโต,จนแทบจะไม่สามารถสำรวจเขตแดนที่กว้างใหญ่แห่งนี้ได้ทั่ว,หากแต่ตั้งแต่ตนกลับเป็นส่วนแค่เศษส่วนของทวีปจากยุคบรรพกาล,เช่นนั้นทวีปในยุคบรรพกาลจะมีขนาดยิ่งใหญ่ถึงเพียงใดกัน.

ในตอนนี้ไม่เหมือนว่าฉู่เทียนกำลังแข่งขันกับคนของสำนักเมฆาแม้แต่น้อย,มันเป็นภาพเหมือนกับว่าอาจารย์ที่กำลังสอนสั่งวิชาประวัติศาสตร์ให้กับเหล่านักเรียน.

หยุนกวังเหยี่ยนที่กำลังโกรธเกรี้ยวอย่างหนักและจ้องมองไปยังเหล่าผู้เยาว์คนอื่นๆที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและแสดงท่าทางว่าต้องการที่จะสอบถามเพิ่มอีก"พวกเจ้ากำลังทำอะไร!ไม่รู้จักอับอายบ้างรึอย่างไร?ยังไม่ออกไปอีก!"

เหล่าผู้เยาว์ของตระกูลหยุนอีกหลายคนที่แสดงท่าทางหดหู่เป็นอย่างมาก,พวกเขายังมีเรื่องที่สงสัยอีกมากมายที่ต้องการจะถาม,หากแต่กลับมีผู้อาวุโสที่อยู่แห่งนี้ด้วย,พวกเขาต้องอดกลั้นและขยับออกไปยืนอยู่ข้างๆ.

หยุนกวังเหยียนแค่นเสียงกล่าวออกมาอย่างเย็นชา,"กล่าวอะไรออกมาไร้สาระ,เจ้ามีหลักฐานในสิ่งที่เจ้าเพิ่งกล่าวมาอย่างงั้นรึ?!"

ฉู่เทียนหัวเราะออกมาเสียงดัง"เช่นนั้นเจ้ามีหลักฐานอะไรที่มาพิสูจน์ว่าข้ากล่าวเรื่องสาระกัน?"

หยุนกวังเหยียนจ้องมองไปยังลีไทว ทว่าใบหน้าของลีไทวตอนนี้ราวกับกำลังกินแมลงสาบเข้าไปยังไงยังงั้น"ชิ,แม้ว่าจะเป็นเพียงการคาดเดาและเป็นจินตนาการของเจ้าก็ตาม,ทว่าดูตามช่วงยุคต่างๆแล้ว,ก็ถือว่าไม่เลว!"

ลีไทวไม่คาดคิดเลยว่าฉู่เทียนจะสามารถตอบคำถามเช่นนี้ได้.

เกี่ยวกับเรื่องงานวิจัยการกำเนิดของโลกใบนี้นั้น,แม้แต่อาจารย์ของเขาเองก็ได้ฟังมาจากอาณาจักรขนาดใหญ่มากมาย,ถึงแม้ว่าจะเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรื่องเองก็ตาม,ยังไม่สามารถที่จะกล่าวออกมาได้อย่างชัดเจน,ส่วนมากเป็นเพียงแค่มุมมองที่ดูผิวเผินเท่านั้น.

ลีไทวได้สอบถามไปอีก"ข้าขอถามเจ้าอีกครั้งก็แล้วกัน,มีกี่ยุคสมัยกันที่เกิดขึ้นภายในทวีปแห่งนี้จนถึงปัจจุบัน,อารยะธรรมของเผ่ามนุษย์นั้นปรากฏขึ้นมากี่ยุคแล้ว?"

"หลังจากผ่านยุคบรรพกาลที่ยิ่งใหญ่ได้ล่มสลายไปแล้วนั้น,เหล่าสิ่งมีชีวิตที่เป็นอมตะในยุคบรรพกาลต่างก็ต้องตกตายไปเกือบหมด,เหล่าลูกหลานของเทพโบราณ,เทพอสูรที่สืบเชื้อสายมายังพอรอดชีวิตอยู่,พวกเขาได้ค่อยๆรวมตัวกันและสร้างเหล่าประชากรของสิ่งมีชีวิตขึ้น,ซึ่งกระบวนการดังกล่าวนี้ใช้เวลานานถึงแปดแสนปี."

"ในยุคแรกนั้นมีเผ่าภูติปิศาจ,เผ่าสวรรค์,เผ่ามังกร,เอลฟ,สัตว์อสูรวิญญาณ และอื่นๆอีกมากมาย,หลังจากที่อารยะธรรมดังกล่าวเจริญและเสื่อมสลายเป็นวัฎจักรหมุนวนไปมาถึงหกยุค,และแล้วเผ่ามนุษย์ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น."

"ในยุคของเผ่าภูติปิศาจและเผ่าสวรรค์เจริญรุ่งเรื่องนั้น,ในยุคนั้นประชากรที่มีเชาว์ปัญญามีไม่มากนัก,ดังนั้นอารยะธรรมของยุคนี้จึงไม่ปรากฏ,จากนั้นก็มาถึงยุคของเผ่ามังกรและเผ่าเอลฟที่เจริญรุ่งเรื่อง,พวกเขามีอารยะธรรมเกิดขึ้นสี่ช่วงเวลา,หากแต่ด้วยช่วงชีวิตของเผ่าทั้งสองนั้นมีอายุที่ยาวนานจนเกินไป,พัฒนาการของอารยะธรรมจึงเติบโตช้ามาก,เมื่อเข้าสู่ยุคถดถอยของพวกเขา,จนในที่สุดก็ถูกทดแทนด้วยยุคของสัตว์อสูรวิญญาณ."

"ยุคของสัตว์อสูรวิญญาณนั้นมีอารายะธรรมถึงแปดช่วง,พัฒนาการของยุคอสูรวิญญาณนั้นรวดเร็วเป็นอย่างมาก,พวกเขาได้สร้างอาณาจักรขนาดใหญ่โตมากมาย,นับว่าเป็นแห่งความศิวิไลซ์เลยก็ว่าได้."

"เวลาล่วงเลยมาอีก 20,000ปี,เผ่ามนุษย์ได้ถือกำเนิดขึ้นมาบนทวีปฝั่งตะวันออก,มนุษย์มีพลังความแข็งแกร่งกว่ากับเผ่าสัตว์อสูรวิญญาณ,เผ่ามนุษย์มีภูมิปัญญาเหมือนกับเผ่ามังกร,และยังมีทักษะการเรียนรู้เหมือนกับเผ่าเอลฟ,และมีความแข็งแกร่งทางร่างกายเหมือนสัตว์อสูรวิญญาณ,แม้ว่ามนุษย์จะมีช่วงอายุที่สั้นกว่า,ทว่าพวกเขากับมีความสามารถในการสืบพันธ์ที่ยอดเยี่ยม,ทำให้พวกเขาสามารถยืนอยู่บนยุคที่อารยะธรรมที่ล่มสลายได้,ก่อนที่พวกเขาจะสร้างอารยะธรรมของตัวเองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว!"

ในเวลาเดียวกันนั้นมีบางคนที่ไม่สามารถทนความอยากรู้ตัวเองเอาไว้ได้แล้วถามออกมาว่า"ทำไมชีวิตของมนุษย์นั้นถึงได้สั้น,ถึงสามารถสร้างและพัฒนาอารยะธรรมที่น่าสะพรึงกลัวขึ้นมาได้ล่ะ?"

"เจ้าถามได้ดี!"ฉู่เทียนที่ยกปากกาพลังวิญญาณขึ้นมา,พลางกวาดตามองไปยังคนๆนั้น"สมมติว่าเจ้ามีอายุไข 10,000 ปี และเจ้าคิดว่าการใช้ชีวิตของเจ้าจะเป็นแบบใหน?"

"เช่นนั้น..."

พวกเขาไม่สามารถที่จะจินตนาการถึงได้เลย.

มันเหมือนกับว่ามันเป็นแค่เรื่องตลก!
10,000 ปี!

ยังมีสิ่งใดที่พวกเขาต้องหวาดกลัวล่ะ?

แน่นอนว่าพวกเขาก็จะหาสถานที่ปลอดภัย,และใช้ชีวิตอย่างสงบ!

ด้วยระยะเวลาตั้งหนึ่งหมื่นปี,ไม่ว่าจะเรียนรู้ได้ช้าเท่าไหร่,แน่นอนอย่างน้อยพวกเขาย่อมไม่พ่ายแพ้ต่อเหล่าผู้เชี่ยวชาญคนใดๆแน่นอน!

ภายในดวงตาของชายหนุ่มทันใดนั้นราวกับว่าสามารถเข้าใจได้ถึงบางอย่าง ก่อนจะได้ยินคำพูดเสริมกล่าวออกมา"เพราะว่าหากมีชีวิตที่ยาวนานเกินไป,สิบปีก็จะเหมือนกับผ่านไปเพียงวันเดียว,การเรียนรู้ก็จะช้าเพราะว่าไม่ต้องแข่งกับเวลาเพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้น,การใช้ชีวิตของเจ้าก็จะเต็มไปด้วยความผ่อนคลายสบายใจดังนั้นพวกเจ้าก็จะไม่เร่งรีบฝึกฝนวิชา,เหมือนดังการงีบเพียงแค่พริบตาเดียวของมังกรก็เป็นเวลาหลายสิบปีแล้วและเอลฟเองก็ชื่นชอบในการชื่นชมดื่มด่ำไปกับศิลปะความงาม,นั่นจึงเป็นเหตุให้การพัฒนาของพวกเขานั้นช้าเป็นอย่างมาก,ประชากรของพวกเขาขาดความกระตือรือร้นเพื่อที่จะผลักดันตัวเองให้ก้าวไปข้างหน้าให้เร็วกว่าที่ควรจะเป็น."

ฉู่เทียนกล่าวจบก็หยุดอยู่ชั่วขณะ.

"กล่าวในทางกลับกัน,เมื่อเจ้าฝึกฝนและเรียนรู้ หากว่ามีเวลาจะจำกัด พวกเจ้าก็จะเร่งรีบมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า,เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆแค่ 70 ปี,นั่นจึงทำให้หลากลายชีวิตต่างก็พยายามฝึกฝนตัวเองเพื่อที่จะกลายให้เป็นคนที่แข็งแกร่ง,และคู่แข่งขันที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือเวลานั้นเอง,ไม่ว่าอย่างไรพวกเจ้าจะไม่ปล่อยเวลาให้เสียไปเปล่าๆอย่างแน่นอน,หากมองไปในภาพรวมแล้ว,โลกใบนี้ก็ถือว่ามีกฎเกณฑ์ที่ยุติธรรมอยู่เหมือนกัน,สำหรับเผ่าที่มีอายุยืนยาวการสืบพันธ์นั้นนับว่าอ่อนแอเป็นอย่างมาก,ส่วนเผ่าพันธุ์ที่มีอายุสั้นต่างก็มีการสืบพันธ์ที่แข็งแกร่ง,เผ่ามังกรและเผ่าเอลฟถึงแม้ว่าจะแข็งแกร่งก็ตามหากแต่จำนวนประชากรของพวกเขานั้นเพิ่มขึ้นช้าเป็นอย่างมาก,และแล้วก็ถูกแทนทีด้วยสัตว์อสูรวิญญาณและต่อจากนั้นก็เป็นเผ่ามนุษย์ที่มาแทนที,พร้อมกับกลายเป็นคนที่อยู่ในหน้าประวัติศาสตร์มากที่สุดในตอนนี้!"

"เผ่ามนุษย์นั้นไม่เพียงแต่มีการสืบพันธ์ที่ยอดเยี่ยม,พวกเขายังแข็งแกร่งกว่าสัตว์อสูรวิญญาณ,และยังมีเชาว์ปัญญาที่เหนือกว่าและการเรียนรู้ที่มากกว่า,และด้วยเหตุนั้นเผ่ามนุษย์จึงเริ่มยึดครองพื้นที่ของทวีปแห่งนี้มากขึ้นเรื่อยๆ,ด้วยจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นมาไม่หยุด ทันทีที่ปรากฏขึ้นไปบนหน้าประวัติศาสตร์ก็ผ่านมาเพียงแค่สองหมื่นปีเท่านั้น,พวกเขาก็สามารถที่จะแข่งขันและท้าทายกับเหล่าเอลฟและสัตว์อสูรวิญญาณได้,จากนั้นอีกหมื่นปีถัดมาประชากรของมนุษย์ก็เพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า,ทำให้พัฒนาการต่างๆเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว,มีอารยะธรรมมากมายเพิ่มขึ้นมาหลายร้อยยุคสมัย,แน่นอนว่า ในตอนนี้พวกเรากำลังจะกลายเป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดในทวีปแห่งนี้!"
”......”

ยิ่งฉู่เทียนเล่าไปมากเท่าไหร่,เหล่าคนฟังก็ยิ่งรู้สึกถึงความลึกลับมากขึ้นเท่านั้น,ท้ายที่สุดพวกเขาก็เริ่มที่จะรู้แจ้งในสิ่งที่เกิดขึ้น,พร้อมกับรู้สึกภาคภูมิลึกๆในความล้ำลึกของเผ่ามนุษย์.

ที่จริงแล้วเผ่ามนุษย์ช่างเป็นเผ่าที่ร้ายกาจยิ่งนัก!

อายุไขที่สั้นถึงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีก็ตาม,อย่างไรก็ตามหากเปรียบเทียบกับทุกเผ่าก็ไม่ได้นับว่ามันเป็นข้อเสียแต่อย่างใด.
 เหล่าผู้เยาว์ทั้งชายและหญิงต่างก็เผยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความนับถือ!
 การเรียนรู้!
ภูมิปัญญา!
ด้วยอายุเพียงเท่านี้เขาช่างร้ายกาจยิ่งนัก,เขาไม่ได้กล่าวโอ้อวดแม้แต่น้อย นอกจากดาราศาสตร์และภูมิศาสตร์แล้ว,เกือบทุกๆอย่างเขากลับรู้อย่างละเอียดเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง!

ไม่สงสัยเลยว่าเขาถึงได้หาญกล้ากล่าวคำพูดว่าต้องการที่จะท้าทายสำนักเมฆา.
ชายหนุ่มคนนี้เขาช่างมีความสามารถจริงๆ!
ทุกๆคนที่จับจ้องไปยังกระดานหมากรุกอาคมอักขระทั้งสิบ,ตอนนี้ก็พบว่ามีอักษรรูนมากมายอยู่เต็มไปหมด,เห็นได้อย่างชัดเจนว่าวงเวทย์อักขระของทั้งสองนั้นกำลังยันกันไปมาอยู่.
ทั้งสิบกระดานหมากรุกอาคมเลย.
แต่ล่ะรูปแบบวงเวทย์นั้นมีอักษรรูนนับร้อยเลยก็ว่าได้.
ถึงแม้ว่าจะมองลงไปบนวงเวทย์ที่ก่อร่างขึ้นมาอย่างเดียว,ต่างก็ทำให้ทุกคนวิงเวียนแล้ว,ฉู่เทียนที่เดินไปมาระหว่างกระดานหมากรุกอาคมนั้นเพียงแค่กวาดตามองเท่านั้น,ราวกับว่าเขาสามารถเข้าใจและจดจำรูปแบบทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนกระดานได้ทั้งหมด!
ต้องรู้เอาไว้ด้วยว่า
ไม่เพียงแค่เขาจะต้องเล่นกระดานหมากรุกอาคมทั้งสิบ,พร้อมกันนี้เขาจะต้องตอบคำถามที่ลีไทวถามออกมาอีกด้วย.
เกาเหาเหรียนที่เป็นนักวิชาการชั้นแนวหน้า,เขาไม่รู้เลยว่าจะโจมตีอย่างไร,เขาทำได้อย่างเดียวคือขัดขวางฝ่ายตรงข้ามเอาไว้,เขาคงทำได้แค่ป้องการพื้นที่ส่วนใหญ่เอาไว้,ตราบเท่าที่ฉู่เทียนไม่สามารถสร้างวงเวทย์ที่สมบูรณ์ได้,อักขระเวทย์ทั้งหมดย่อมไม่สามารถทำงาน.
หากแต่มีสิ่งที่ทำให้ทุกคนสับสนอยู่เช่นกัน.

ฉู่เทียนราวกับว่ากำลังแสร้งทำเป็นว่าไม่สนใจที่จะโจมตีและไม่มีทีท่าว่าจะโจมตีเลย,เหมือนกับว่าเขาทำการวางวงเวทย์อักขระบางอย่างขึ้นมาเท่านั้น.

กลุ่มคนของเกาเหาเหรียนเองเริ่มเผยท่าทางมีความสุขขึ้นมาบ้างแล้ว,เวลาครึ่งก้านธูปนั้นจวนจะหมดแล้วและกำแพงอักขระที่พวกเขาสร้างขึ้นมาได้ถูกติดตั้งลงไปบนกระดานหมากรุกอาคมอย่างหนาแน่น,ถึงแม้ว่าฉู่เทียนต้องการที่จะทำลาย,เขาก็ไม่สามารถที่จะทำลายได้ทันเวลาอย่างแน่นอน!

"เจ้าสามารถที่จะอ่านเนื้อหาที่บันทึกเอาไว้ในหนังสัตว์ชิ้นนี้ได้หรือไม่?!"

ลีไทวที่โยนม้วนหนังสัตว์ออกไป.

ม้วนหนังสัตว์ชิ้นนี้นับว่าทำมาจากหนังของสัตว์อสูรชั้นสูงเลยก็ว่าได้,ถึงแม้ว่ามันจะผ่านมานานหลายร้อยปีแต่กับไม่มีรอยผุพังเลยแม้แต่น้อย.

"นี่คือวิชาบำเพ็ญของสัตว์อสูรวิญญาณที่ได้บันทึกเอาไว้."

ฉู่เทียนที่คี่ม้วนหนังสัตว์ออกมาช้าๆ,ก่อนที่จะเริ่มอ่านเสียงดัง ภายในนั้นแน่นอนว่ามันเป็นภาษาของสัตว์อสูรวิญญาณนั่นเอง.

มือหนึ่งถือคัมภีร์,พร้อมอ่านออกมาเสียงดัง,ส่วนอีกมือหนึ่งก็เขียนอักษรรูนลงไปบนกระดานหมากรุกอาคมอักขระ.

เด็กหนุ่มคนนี้มีความสามารถึงเพียงนี้เลยรึ?

ลีไทว รู้สึกหดหู่ใจเป็นอย่างมาก,เขาได้นำตำราโบราณที่หายากที่สุดออกมาแล้ว,ทว่าเจ้าเด็กนี้ยังสามารถอ่านออกมาได้ราวกับเป็นตำราเด็กอนุบาล.

นี่มันไม่ได้หมายความว่า.

เขาต้องจบสิ้นแล้วอย่างงั้นเหรอ!

ชายหนุ่มคนนี้ดูราวกับเป็นเทพเจ้า,ที่รู้แจ้ง,ไม่มีสิ่งใหนเลยที่เขาไม่เข้าใจ,ไม่ว่าจะถามอะไรไปราวกับว่าเขารู้มันทุกอย่าง,ดูเหมือนว่าคงทำได้แค่ถ่วงเวลา,ทำให้เขาพ่ายแพ้ในการดวลหมากรุกอาคมอักขระอย่างเดียวแล้ว.

ลีไทวก้าวออกไปเพื่อสอบถาม.

บนชั้นหนังสือที่พวกเขาเตรียมมา มีตำราเก่าๆได้โยนออกไปไม่หยุด.

ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าไม่ว่าจะเป็นตำราโบราณเล่มใหน,ฉู่เทียนก็สามารถตอบออกมาได้อย่างสบาย,ไม่มีติดขัดเลยแม้แต่น้อย.

ดูเหมือนว่าหมากรุกอาคมอักขระที่ต้านกันไปมานั้นจะมาถึงช่วงสำคัญแล้ว,หมากรุกแต่ล่ะกระดานนั้นมีอักษรรูนปรากฏขึ้นเต็มไปหมดมากมายนับไม่ถ้วน,แทบจะไม่มีตาให้สามารถลงอักษรรูนได้อีกต่อไปแล้ว,อีกไม่กี่ตาก็จะต้องจบกระดานเป็นแน่,อย่างน้อยวงเวทย์อักขระที่ถูกสร้างขึ้นนี้แม้ว่าจะไม่สามารถทำลายฝ่ายตรงข้ามได้ทว่าก็ยังสามารถต้านทานกันละกันอยู่.
 "เวลาใกล้จะหมดแล้ว!"
 "เจ้ายังไม่ชนะสักกระดาน!"
 "ดังนั้นเจ้าพ่ายแพ้แล้ว!"
 "เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก?"

นักวิชาการเหล่านี้ดวงตากลายเป็นสีแดงกล่ำ,ในตอนนี้,พวกเขาไม่ได้ห่วงหน้าตาตัวเองเลยแม้แต่น้อย,ตราบเท่าที่ชนะฉู่เทียนได้,อะไรก็ไม่สำคัญแล้ว!

ฉู่เทียนส่ายหน้าไปมา,"ที่ข้ายังไม่ชนะ,ไม่ใช่เพราะว่าข้าชนะไม่ได้,ทว่าข้ายังไม่ต้องการชนะต่างหาก!"
 "ไร้สาระ!"
 "เจ้าไม่มีทางชนะได้แล้ว!"

"เจ้ายังไม่ชนะแม้แต่กระดานเดียว,ทำได้แค่เพียงเสมอเท่านั้นล่ะ!"
ฉู่เทียนหัวเราะเสียงดัง"ที่จริงแล้วการจะชนะพวกเจ้านั้นมันเป็นเรื่องที่ง่ายจนเกินไป,ทว่าเป็นข้าเองที่ไม่อยากให้พวกเจ้าแพ้ง่ายจนเกินไป,ไม่งั้นแล้วมันก็ไม่ใช่เป็นการแข่งขันแล้ว!ดังนั้น,ข้าจึงยังไม่อยากให้พวกเจ้าแพ้,แต่ว่าข้านั้นสามารถที่จะทำให้พวกเจ้าพ่ายแพ้ได้พร้อมๆกัน!"

ทำให้แพ้พร้อมกันทุกกระดานอย่างงั้นรึ?

เรื่องเช่นนี้สามารถทำได้จริงๆรึ?

หมากรุกอาคมนั้นวงเวทย์ต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นเปลี่ยนแปลงไปมาไม่ซ้ำแบบ,ในการวางอักขระอักษรรูนแต่ละตัวละมานั้นจะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของคุณสมบัติของวงเวทย์ในกระดานตลอดเวลา,การที่จะสามารถที่จะทำให้กระดานหมากอาคมทั้งสิบนั้นทำงานผสานกันและให้ผลลัพธ์ที่เหมือนกันนั้น ทำได้ด้วยอย่างงั้นรึ?

พลังของวงเวทย์ดังกล่าวนี้เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถควบคุมได้!

เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!

ฉู่เทียนไม่กล่าอะไรออกไปให้เสียเวลาเขาได้เดินไปยังกระดานหมากรุกอาคมกระดานแรก,ก่อนที่จะใช้ปากกาพลังวิญญาณเขียนอักษรรูนลงไปหนึ่งตัว.

"ค่ายกลสายน้ำ,หนึ่งพันคลื่นอักษร!"

ทันทีที่อักษรรูนตัวดังกล่าวถูกใส่เข้าไปในค่ายกลบนกระดาน.
 เกิดแสงสว่างจ้าส่องประกายไปทุกทิศทุกทาง,อักษรรูนเริ่มที่จะเชื่อมต่อกันในทันที,พลังที่รุนแรงกำลังสั่นไปทั้งกระดาน,ราวกับว่าคลื่นพลังดังกล่าวนั้นกำลังถูกปลดปล่อยออกมา,กลุ่มของเกาเหาเหรียนนั้นสมองของพวกเขาถึงกับหยุดทำงาน,เหล่าอักษรรูนมากมายที่พวกเขาบรรจงสร้างวงเวทย์ป้องกันขึ้นมา,ราวกับว่ามันถูกกวาดหายไปด้วยคลื่นสึนามิ.

ตูมมมมม!

ค่ายกลวงเวทย์ที่พวกเขาสร้างขึ้นมาป้องกัน ถูกฉีกกระชากแหลกออกเป็นชิ้นๆ!

พลังกดดันวิญญาณที่น่าเกรงขามกำลังไหลบ่าโถมกระหน่ำออกมาจนวงเวทย์อักษรรูนของพวกเขาหายไปไม่มีเหลือเลยแม้แต่ตัวเดียว.

ภายในกระดาษอาคมตอนนี้กลายเป็นพลังสายน้ำที่บริสุทธ์เป็นอย่างมาก,วงเวทย์ที่ฉู่เทียนสร้างขึ้นมานั้นไม่เพียงแสดงพลังออกมาได้,นอกจากนี้มันยังสมบูรณ์แบบจนไม่อยากเชื่อเลย!
 "ค่ายกลแห่งแสง,ประกายแสงล้านหน่วย!"
 กระดานหมากรุกอาคมอักขระที่สอง,เพียงแค่ฉู่เทียนลงอักษรรูนลงไปอีกตัว.

อักษรรูนทุกตัวก็เชื่อมกันอย่างสมบูรณ์สร้างวงเวทย์ที่ยอดเยี่ยมออกมา,มันปลดปล่อยพลังงานแสงที่เจิดจรัสสว่างวับวาว,อักษรรูนค่ายกลป้องกันของเหล่านักวิชาการของสำนักเมฆาที่ช่วยกันสร้างขึ้นมา,ไม่มีแม้แต่พลังในการต้านทานแสงสว่างที่เจิดจรัสเอาไว้ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างของของพวกเขา อักษรรูนที่สร้างขึ้นมาป้องกันหายไปหมด,พลังป้องกันที่พวกเขาร่วมแรงร่วมใจกัน,แตกกระจายออกไปเป็นเสี่ยง,พ่ายแพ้ภายในพริบตา.

"นี่มัน...เป็นไปไม่ได้!"
เกาเหาเหรียนถึงกับขนลุกซู่ หวาดผวาขึ้นมา.
จากนั้นก็เป็นกระดานหมากรุกอาคมอักขระที่สาม,เพียงแค่ลงอักษรรูนอีกตัว,วงเวทย์ที่ยอดเยี่ยมก็เริ่มทำงาน,ครั้งนี้มันลุกไหม้อย่างรุนแรงราวกับจะเผาไหม้ไปทั้งสวรรค์และปฐพี,เป็นวงเวทย์ธาตุเปลวเพลิงที่รุนแรงเป็นอย่างมาก,อักษรรูนวงเวทย์ป้องกันของพวกเขา,ถูกเผาไหม้แหลกสลายไม่เหลือแม้แต่ตัวเดียว,เพียงพริบตาเดียวก็ถูกกวาดหายไปจากกระดาน,แทบจะไม่เหลือแม้แต่ตะกอน.
กระดานที่สี่!
กระดานที่ห้า!

......
กระดานที่สิบ!
เหมือนกับคำพูดของฉู่เทียน กระดานหมากรุกอาคมอักขระนั้น,สามารถชนะได้เพียงแค่พริบตาเดียว,ไม่มีทางที่พวกเขาจะสามารถต้านทานเอาไว้ได้เลย!
เหล่านักวิชาการพวกเขาทั้งหมดต่างก็ไม่คิดเลยว่าวงเวทย์ป้องกันที่สร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากจะถูกทำลายในพริบตาเดียว!

"ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!"

"ตอนนี้ลองมองดูอีกครั้งสิ,เป็นใครกันที่เป็นคนพ่ายแพ้!"

ชายหนุ่มโยนปากกาพลังวิญญาณขึ้นและลงแสดงท่าทางสบายๆ,พร้อมกับหัวเราะเสียงดัง.

เหล่าผู้เยาว์ตระกูลหยุนทั้งหญิงและชายอดไม่ได้เลยที่จะส่งเสียงยินดีดังลั่น,

"สง่างามยิ่งนัก!"
 "ชนะขาดลอยเลย!"
 "ช่างเป็นนักวิชาการที่ยิ่งใหญ่จริงๆ!"

ความสามารถของชายหนุ่มที่แปลกประหลาดคนนี้,ทำให้พวกเขารู้สึกชื่นชมอย่างหมดหัวใจ!
 ส่วนเรื่องดูถูกก่อนนี้?
 มันไม่เหลืออยู่ภายในใจของพวกเขาแล้ว!
หากว่าความสามารถทั้งสองฝ่ายเท่ากัน,ด้วยสถานการณ์เช่นนี้อาจจะคิดได้ว่าเป็นการดูถูก.
ทว่า,ระดับของฉู่เทียนและเหล่านักวิชาการของสำนักเมฆานั้นอยู่กันคนละระดับเลยไม่ใช่รึ?เหล่าคนทุกคนของสำนักเมฆาที่อยู่รอบๆตอนนี้ไม่มีแม้แต่คุณสมบัติที่จะเป็นนักเรียนของเขาด้วยซ้ำ!
หากพิจารณาแล้ว,ราวกับเป็นการแข่งขันของนักปราชญ์ระดับสูงกับเหล่าคนจากแคว้นบ้านนอกที่เพิ่งหัดเรียนเขียนหนังสือและการที่ปราชญ์ระดับสูงได้ชัยชนะขาดลอย มากมายขนาดนี้,ไม่ทำให้คนจากบ้านนอกนี้ต้องอับอายรึอย่างไร?น่าขันจนเกินไปแล้ว!หากว่าปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เลือกที่จะแข่งขันด้วยแล้วล่ะก็,นั่นยิ่งกว่าถือว่าให้เกียรติเป็นอย่างมากแล้ว!

"ไอ้พวกกบฏ!พวกเจ้าทุกคนมันพวกกบฏ!"
"พวกเจ้าทุกคนยังเป็นคนของตระกูลหยุนอยู่อีกเหรอ!"
ใบหน้าของหยุนกวังเหยียนที่แดงซ่านตะโกนออกมาเสียงดัง,ตาแดงเสียงสั่นเคลือ,ราวกับเขาบ้าคลั่งไปแล้วด้วยความโกรธ.





ที่มาจากhttps://lnmtl.com/novel/miracle-throne

#นิยาย บัลลังก์แห่งปาฏิหาริย์ #Miracle throne#นิยายแปลไทย



สนใจสนับสนุนพวกเรา เข้าร่วมกลุ่ม VIP  Click

-เว็ปฟรี 2 วันนอัพหนึ่งตอน

-กรุ๊ป vip วันล่ะ 2 ตอน

3 ความคิดเห็น:

  1. มีคนหาเรื่องโดนทุบ !!!

    ตอบลบ
  2. ขี้แพ้ชวนตีนี่หว่าไอ้แก่พวกนี้ ชิร์

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. อย่าไปสนไอ้พวกไดโนเสาเก่าคร่ำครึเลยครับ

      ลบ