Strongest Sect of All Times Chapter 275 Mysterious Commandery Protector
นิกายที่แข็งแกร่งที่สุดนิรันดรกาล
Chapter 275 Mysterious
Commandery Protector
神秘的郡守
หนึ่งเดือนที่จุนซ่างเซียวปิดด่านบ่มเพาะ,เย่ซิงเฉินที่ตัดผ่านไปยังระดับอาจารย์ยุทธ์ได้ในที่สุด.
การที่เขาเหนือกว่าคนอื่น ๆนั่นเพราะเขาเคยเป็นอดีตราชันย์ยุทธ์นั่นเอง,ส่วนอีกเรื่องก็คือวิชาบ่มเพาะพระสูตรไท่ฉวน.
ส่วนคนอื่นๆ.
หลี่ชิงหยางและคนอื่น
ๆไม่ได้มีประสบการณ์วิธียุทธ์ที่มากมาย,ไม่ได้มีวิชาบ่มเพาะเหนือระดับเทวะ,ย่อมไม่สามารถไล่ตามอดีตราชันย์รัตติกาลได้,แม้นว่าจะมีทรัพยากรฝึกฝนมากมายที่จุนซ่างเซียวมอบให้ก็ตาม.
ทว่านี่คือสำนักไท่กู่เจิ้ง.
ด้วยทรัพยากรที่มากล้น,ถึงจะมีพรสวรรค์ไม่ดี,ขอเพียงมีความพยายาม,ก็สามารถแข็งแกร่งได้อย่างรวดเร็ว.
เย่ซิงเฉินที่เป็นราชันย์ยุทธ์จุติกลับมา,ยิ่งมีทรัพยากรมากพอ,ความรู้และประการณ์ที่มีเป็นดังเสียติดปีก.
ไม่.
ไม่ได้มีเพียงเท่านั้น.
ทั้งความตั้งใจและวิชาพระสูตรไท่ฉวน,ทำให้เขาก้าวเร็วกว่าคนอื่นจนเห็นได้อย่างชัดเจน.
หลี่ชิงหยาง,เซียวจุ้ยจื่อและอีกหลายคน,ที่ไม่ต้องการให้ศิษย์น้องทิ้งห่าง,จึงได้เร่งรีบฝึกฝนบ่มเพาะอย่างหนักเช่นกัน.
ไม่กี่วันหลังจากนั้น.
พวกเขาก็สามารถตกผลึกพลังวิญญาณตัดผ่านจากระดับศิษย์ยุทธ์ไปยังอาจารย์ยุทธ์ได้อย่างราบรื่น,เปิดดินแดนยุทธ์บทใหม่ได้.
“เจ้าสำนัก.”
ในวันหนึ่ง,หลี่ชิงหยางเอ่ยออกมาว่า,”ศิษย์น้องลี่ตัดผ่านไปยังระดับอาจารย์ยุทธ์แล้ว,ศิษย์สายในเวลานี้มีเพียงศิษย์น้องเถียนที่ยังอยู่ในระดับศิษย์ยุทธ์ขั้นปลาย.
เหตุผลนั้นเพราะว่ามีเขาคนเดียวที่มีรากวิญญาณระดับสูง.
หากไม่เพราะขีดจำกัดการซื้อ,จุนซ่างเซียวคงซื้อน้ำยาเปลี่ยนพรสวรรค์ระดับสุดยอดให้เขาไปแล้ว,ตอนนี้
หากไม่มีรางวัลจากภารกิจลับก็ไม่สามารถทำอะไรได้.
ไม่ต้องรีบ,ไม่ต้องรีบ.
เถียนซี่ต้องได้เลื่อนระดับเป็นรากวิญญาณขึ้นสุดยอดในเร็ว
ๆนี้อย่างแน่นอน.
ส่วนศิษย์หญิงใหญ่,แน่นอนว่านางตัดผ่านไปยังระดับอาจารย์ยุทธ์ก่อนหน้าแล้ว.
หากนับเวลานี้,ศิษย์สำนักไท่กู่เจิ้งมีอาจารย์ยุทธ์เจ็ดคนแล้ว,ความแข็งแกร่งไม่ได้ด้อยกว่าสำนักระดับหกแม้แต่น้อย.
ไม่ได้,ต้องแข็งแกร่งกว่านี้.
การประลองกับนิกายเซิ่งชวนเหลืออีกเพียงสี่เดือน,จุนซ่างเซียวที่จ่ายศิลาวิญญาณออกไปให้ศิษย์สายในคนละห้าสิบก้อน,เพื่อยกระดับตัวเองให้เร็วที่สุด.
ศิลาวิญญาณที่เป็นของหายาก,จะมีสำนักใดกันที่มอบให้กับศิษย์ได้อย่างง่ายดายขนาดนี้!
เจ้าสำนักจุน,ไม่เกินไปหน่อยรึ?!
......
เรื่องของสำนักไท่กู่เจิ้งที่ท้าทายนิกายเซิ่งชวนใกล้เข้ามาเรื่อย
ๆ,เหล่าชาวยุทธ์ทั่วมนทลชิงหยางที่พูดคุยกันเรื่องนี้ไม่หยุด.
แม้นว่าช่วงที่ผ่านมา,สำนักไท่กู่เจิ้งจะสร้างชื่อเสียงขึ้นมาไม่น้อย,ทว่าผู้คนจำนวนมากก็ยังไม่ให้ค่ามากนัก,ต้องไม่ลืมว่า,คู่ต่อสู้คราวนี้คือนิกายระดับห้า!
ทรัพยากรระหว่างสำนักและนิกายนั้น,โดยปรกติแล้วไม่สามารถนำมาเทียบกันได้เลย.
กับสิ่งที่ทุกคนคิดในเวลานี้,ย่อมแตกต่างกันกับเจ้าเมืองเซี่ยคิด.
ต้องไม่ลืมว่าเขาเป็นหนึ่งในคนที่ได้เห็นการประเมินก่อนหน้านี้,เข้าใจดีว่า,ศิษย์ของสำนักไท่กู่เจิ้งนั้น,รอเวลาที่จะโชติช่วงโบยบินเท่านั้น.
“เจ้าสำนักจุน.”
เจ้าเมืองเซี่ยเอ่ย,”การท้าทายนิกายเซิ่งชวน,เซี่ยโหมวและประชาชน
3.6 ล้านคน,พร้อมใจเชียร์อยู่ข้างท่าน!”
จุนซ่างเซียวถึงกับมองบนเอ่ยออกมาว่า,”เช่นนั้น,การที่เดินทางมาวันนี้,เพื่อที่จะมากินอาหารอย่างเดียวงั้นรึ?”
ทั้งสองที่เดินตรงไปยังโรงอาหาร,ที่ด้านหน้ามีอาหารเจ็ดแปดอย่าง,พร้อมกับสุราที่ส่งกลิ่นหอม.
เจ้าเมืองเซี่ยเผยยิ้ม,”เจ้าสำนักจุนมีอาหาร,เซี่ยโหมวมีสุรา,ถือว่าเท่าเทียมกัน.”
กล่าวจบ,เขาที่ถือตะเกียบคีบอาหารเข้าปาก,เผยท่าทางพึงพอใจเป็นอย่างมาก.
อาหารของหลิวหว่านซี่นั้น,ได้กินครั้งหนึ่งถึงกับลืมไม่ลง,แม้แต่ทำให้เขาต้องดินทางกลับมาลิ้มลองอีกครั้ง.
จุนซ่างเซียวที่ดื่มเหล้าเคล้าสุราพูดคุยกับเจ้าเมืองเซี่ย,เกี่ยวกับเรื่องราวในยุทธภพ.
หลังจากดื่มสุราไปสามไห.
เซี่ยกวนคุนก็ถอนหายใจแรง,ใบหน้าเผยความเศร้าออกมา.
“ทำไมเจ้าเมืองเซี่ยต้องถอนหายใจด้วยล่ะ?”จุนซ่างเซียวเอ่ย.
เซี่ยกวนคุนดื่มสุรา,กล่าวออกมาว่า,”เซี่ยโหมวได้รับข่าวมาว่า,ภายในจังหวัดซีหนานหยาง,มีหลายมนทลที่เตรียมทำสงคราม,เกรงว่าจะมีสงครามเกิดขึ้นในเร็ว
ๆนี้.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย,”ไม่ใช่ว่าอยู่ในอาณาจักรเดียวกัน,ทำไมต้องทำสงครามกันด้วยล่ะ?”
“ภายในจังหวัดซีเหนียนหยางนั้น,แต่ละมนทลปกครองกันเองอย่างอิสระ,สงครามที่เกิดขึ้นก็เพราะต้องการแย่งชิงทรัพยากร.”
“มันก็เหมือนการแข่งขันอย่างหนึ่งเพื่อยกระดับตัวเอง,ทำไมเจ้าเมืองเซี่ยต้องเป็นกังวล.”
“เซี่ยโหมวเกรงว่า,มีบางมนทลที่ต้องการขยายดินแดน,แล้วกลืนกินมนทลชิงหยางของพวกเราไป.”
จุนซ่างเซียวที่กลายเป็นเงียบ.
มนทลชิงหยางดินแดนระดับเก้า,ถือว่าอ่อนแอที่สุดในจังหวัดซีเหนียนหยาง,หากว่ามีมนทลอื่นต้องการขยายดินแดง,ดูเหมือนว่าจะตกเป็นเป้าหมายก่อนใคร.
เซี่ยกวนคุนเอ่ย,”หลายพันปีก่อน,จังหวัดซี่เหนียนหยางมีมนทลมากกว่า
500,ตอนนี้เหลือเพียง 200 เท่านั้น.”
“ 300
กว่ามนทลโดนกลืนกินไปแล้วอย่างงั้นรึ?”จุนซ่างเซียวเอ่ย.
“ไม่ผิด.”
เซี่ยกวนคุนที่ดื่มสุรา,ใบหน้าเผยท่าทางตื่นตระหนกขึ้นมามากขึ้นและก็มากขึ้น,ก่อนที่จะเอ่ยออกมาว่า,”มนทลชิงหยางของพวกเรา,หากว่าเกิดสงครามขึ้นล่ะก็,ผู้คนมากมายจะต้องตกตายไปเป็นจำนวนมาก.”
“อีกอย่าง.”
เขาหยุดและเอ่ยออกมาว่า,”ผู้พิทักษ์ของมนทลเจิ้นหยางดินแดนระดับหกมีความทะเยอทะยานเป็นอย่างมาก,และยังอยู่ไม่ไกลกับมนทลของเรา,หากเขาเริ่มสงคราม,ต้องมุ่งเป้ามายังมนทลชิงหยาง,และมนมนทลเหอหยางดินแดนระดับแปดแน่นอน.”
จุนซ่างเซียวที่ยกสุราขึ้นดื่ม,”ข้าคิดว่าดินแดนที่ไกลห่างขนาดนี้จะสงบ,ไม่คิดเลยว่ามนทลชิงหยางของข้าจะอยู่ในสถานะการณ์อันตรายเช่นนี้.”
“เจ้าเมืองเซี่ย.”
เขาที่รินสุราสุราเติมแล้วเอ่ยออกมาอย่างจริงจัง,”สำนักไท่กู่เจิ้งของข้าอยุ่ในมนทลชิงหยาง,เป็นคนของมนทลชิงหยาง,หากมีสงครามเกิดขึ้น,ต้องสู้เพื่อบ้านเกิดแน่นอน.
“ฟรึบ!”
เซี่ยกวนคุนลุกขึ้น,ยกแก้วสุราขึ้นเอ่ยออกมาว่า,”เซี่ยโหมวขอดื่มคารวะแทนประชาชน
3.6 ล้านคนของมนทลชิงหยางด้วย!”
จุนซ่างเซียวที่ลุกขึ้นถือถ้วยสุรากล่าวออกมาว่า,”เป็นเกียรติอย่างยิ่ง.”
ทั้งสองที่ดื่มเสร็จก็นั่งลง.
“ใช่แล้ว.”
เขาที่เอ่ยถามด้วยความสงสัย,”เจ้าเมืองเซี่ย,ใครคือผู้พิทักษ์ของมนทลชิงหยางของเรา?”
เจ้าเมืองเซี่ยที่เป็นจัดแจงดูแลธุรกิจของเมือง,ส่วนผู้พิทักษ์มีหน้าที่ในการปกป้องมนทล,ซึ่งแน่นอนว่ามีอำนาจมากกว่าเจ้าเมือง.
จุนซ่างเซียวที่อยู่แต่ในพื้นที่ของตัวเอง,เกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดของมนทลได้ตรวจสอบมาบ้าง,แต่ก็ไม่เคยได้ยินและเห็นผู้พิทักษ์มนทลชองตัวเองเลย,ราวกับว่าไม่มีตัวตนอยู่จริง.
“เฮ้อ.”
เซี่ยกวนคุนถอนหายใจเอ่ยออกมาว่า,”ผู้พิทักษ์ของมนทลชิงหยาง,เทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง,ตั้งแต่ที่ข้าเป็นเจ้าเมือง,เคยเห็นหน้าเพียงสองครั้ง.”
เทพเจ้ามังกรเห็นหัวมิเห็นหาง (神龙见首不见尾) เปรียบเปรย
คนที่มีนิสัย ผลุบ ๆ โผล่ ๆ
“ลึกลับขนาดนั้นเลยรึ?”จุนซ่างเซียวตะลึงงัน.
เซี่ยกวนคุนส่ายหน้าไปมา,กล่าวออกไปว่า,”อย่าถามเลย,หากไม่มีกิจก็ไม่มีทางได้เห็นหน้า.”
.”...”
เขาหยุดเอ่ยและเอ่ยออกมาอย่างจริงจัง,”ผู้พิทักษ์มนทลนั้นแข็งแกร่งมาก,หลายสิบปีก่อน,เคยออกมาปกป้อง
ต่อสู้กับผู้พิทักษ์มนทลระดับแปดเอาไว้.”
“อย่างงั้นรึ?”
จุนซ่างเซียวที่กล่าวด้วยความสนใจ,”แล้วผู้พิทักษ์มนทลของเรานามอะไร,อายุ,และพลังบ่มเพาะเท่าไหร่?”
เซี่ยกวนคุนเอ่ย,”ผู้พิทักษ์มนทลมีนามว่าอวิ๋นเหอ,อายุคงจะ
30-40 ปี,ตั้งแต่ต่อสู้กับผู้พิทักษ์มนทลระดับแปด,เขาน่าจะมีพลังบ่มเพาะ,บรรพชนยุทธ์ขั้นที่แปด.”
อวิ๋นเหอ.
เพียงแค่ชื่อก็เพียงพอแล้วว่าเป็นเมฆที่ล่องลอยไร้การผูกมัด!
บรรพชนยุทธ์ขั้นที่แปด,ทำให้จุนซ่างเซียวประหลาดใจเช่นกัน,ยอดฝีมือเช่นนี้,สามารถเป็นอาวุโสของนิกายระดับห้าได้เลย.
“แล้วเขามีรูปร่างหน้าตาอย่างไร?”
กับผู้พิทักษ์มนทลที่ลึกล้ำเช่นนี้,ทำให้จุนซ่างเซียวรู้สึกสนใจ,ต้องการจะพูดคุยด้วยเช่นกัน.
“ผู้พิทักษ์มนทลอวิ๋นนั้นชอบสวมเสื้อสีน้ำเงิน,ถือน้ำเต้าสุราไปใหนมาใหนตลอดเวลา,ใบหน้าที่ยังไม่แก่,แต่มีผมขาว,”เซี่ยกวนคุนกล่าว.
“เป็นคนที่มีบุคลิกภาพพิเศษ.”
จุนซ่างเซียว,เอ่ยออกมาว่า,”หากว่ามีโอกาส,จะสามารถพบกับผู้พิทักษ์มนทลอวิ๋นได้อย่างไร?”
“ค่อนข้างยาก.”
เซี่ยกวนคุนเอ่ย,”ผู้พิทักษ์มนทลอวิ๋นที่ผลุบ ๆ
โผล่ ๆ,ไม่มีใครรู้ว่าอยู่ใหนตอนนี้,ชอบท่องเที่ยวชื่นชมธรรมชาติ.”
“มีข่าวอยู่หลายครั้ง,ว่าอยู่ในมนทลอื่น,แต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใดกันแน่.”
เป็นชีวิตที่อิสระจริง
ๆ,จุนซ่างเซียวเองก็อยากใช้ชีวิตเช่นนั้นเหมือนกัน,ท่องเที่ยวไปทั่วทวีป,หากไม่เพราะว่ามีภารกิจหลัก,และต้องพัฒนาสำนักเต็มกำลังล่ะก็,เขาต้องออกเดินทางอย่างแน่นอน.
เป็นดั่งเมฆที่ลอยไปมาไร้ทิศทาง?
ท่องเที่ยวชื่นชมธรรมชาติ?
กับชีวิตที่มีความสุขเช่นนี้,คงยากจะทำได้ในฐานะเจ้าสำนัก.
“มา,ดื่ม!”
ที่มา https://lnmtl.com/novel/strongest-sect-of-all-times
#นิยายแปล #Strongest Sect of All Times #นิกายที่แข็งแกร่งที่สุดนิรันดรกาล.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น