วันเสาร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2564

Strongest Sect of All Times Chapter 275 Mysterious Commandery Protector

Strongest Sect of All Times  Chapter 275 Mysterious Commandery Protector

 นิกายที่แข็งแกร่งที่สุดนิรันดรกาล

Chapter 275 Mysterious Commandery Protector

神秘的郡守

 

หนึ่งเดือนที่จุนซ่างเซียวปิดด่านบ่มเพาะ,เย่ซิงเฉินที่ตัดผ่านไปยังระดับอาจารย์ยุทธ์ได้ในที่สุด.

การที่เขาเหนือกว่าคนอื่น ๆนั่นเพราะเขาเคยเป็นอดีตราชันย์ยุทธ์นั่นเอง,ส่วนอีกเรื่องก็คือวิชาบ่มเพาะพระสูตรไท่ฉวน.


ส่วนคนอื่นๆ.

หลี่ชิงหยางและคนอื่น ๆไม่ได้มีประสบการณ์วิธียุทธ์ที่มากมาย,ไม่ได้มีวิชาบ่มเพาะเหนือระดับเทวะ,ย่อมไม่สามารถไล่ตามอดีตราชันย์รัตติกาลได้,แม้นว่าจะมีทรัพยากรฝึกฝนมากมายที่จุนซ่างเซียวมอบให้ก็ตาม.

ทว่านี่คือสำนักไท่กู่เจิ้ง.

ด้วยทรัพยากรที่มากล้น,ถึงจะมีพรสวรรค์ไม่ดี,ขอเพียงมีความพยายาม,ก็สามารถแข็งแกร่งได้อย่างรวดเร็ว.

เย่ซิงเฉินที่เป็นราชันย์ยุทธ์จุติกลับมา,ยิ่งมีทรัพยากรมากพอ,ความรู้และประการณ์ที่มีเป็นดังเสียติดปีก.

ไม่.

ไม่ได้มีเพียงเท่านั้น.

ทั้งความตั้งใจและวิชาพระสูตรไท่ฉวน,ทำให้เขาก้าวเร็วกว่าคนอื่นจนเห็นได้อย่างชัดเจน.

หลี่ชิงหยาง,เซียวจุ้ยจื่อและอีกหลายคน,ที่ไม่ต้องการให้ศิษย์น้องทิ้งห่าง,จึงได้เร่งรีบฝึกฝนบ่มเพาะอย่างหนักเช่นกัน.

ไม่กี่วันหลังจากนั้น.

พวกเขาก็สามารถตกผลึกพลังวิญญาณตัดผ่านจากระดับศิษย์ยุทธ์ไปยังอาจารย์ยุทธ์ได้อย่างราบรื่น,เปิดดินแดนยุทธ์บทใหม่ได้.

“เจ้าสำนัก.”

ในวันหนึ่ง,หลี่ชิงหยางเอ่ยออกมาว่า,”ศิษย์น้องลี่ตัดผ่านไปยังระดับอาจารย์ยุทธ์แล้ว,ศิษย์สายในเวลานี้มีเพียงศิษย์น้องเถียนที่ยังอยู่ในระดับศิษย์ยุทธ์ขั้นปลาย.

เหตุผลนั้นเพราะว่ามีเขาคนเดียวที่มีรากวิญญาณระดับสูง.

หากไม่เพราะขีดจำกัดการซื้อ,จุนซ่างเซียวคงซื้อน้ำยาเปลี่ยนพรสวรรค์ระดับสุดยอดให้เขาไปแล้ว,ตอนนี้ หากไม่มีรางวัลจากภารกิจลับก็ไม่สามารถทำอะไรได้.

ไม่ต้องรีบ,ไม่ต้องรีบ.

เถียนซี่ต้องได้เลื่อนระดับเป็นรากวิญญาณขึ้นสุดยอดในเร็ว ๆนี้อย่างแน่นอน.

ส่วนศิษย์หญิงใหญ่,แน่นอนว่านางตัดผ่านไปยังระดับอาจารย์ยุทธ์ก่อนหน้าแล้ว.

หากนับเวลานี้,ศิษย์สำนักไท่กู่เจิ้งมีอาจารย์ยุทธ์เจ็ดคนแล้ว,ความแข็งแกร่งไม่ได้ด้อยกว่าสำนักระดับหกแม้แต่น้อย.

ไม่ได้,ต้องแข็งแกร่งกว่านี้.

การประลองกับนิกายเซิ่งชวนเหลืออีกเพียงสี่เดือน,จุนซ่างเซียวที่จ่ายศิลาวิญญาณออกไปให้ศิษย์สายในคนละห้าสิบก้อน,เพื่อยกระดับตัวเองให้เร็วที่สุด.

ศิลาวิญญาณที่เป็นของหายาก,จะมีสำนักใดกันที่มอบให้กับศิษย์ได้อย่างง่ายดายขนาดนี้!

เจ้าสำนักจุน,ไม่เกินไปหน่อยรึ?!

......

เรื่องของสำนักไท่กู่เจิ้งที่ท้าทายนิกายเซิ่งชวนใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ,เหล่าชาวยุทธ์ทั่วมนทลชิงหยางที่พูดคุยกันเรื่องนี้ไม่หยุด.

แม้นว่าช่วงที่ผ่านมา,สำนักไท่กู่เจิ้งจะสร้างชื่อเสียงขึ้นมาไม่น้อย,ทว่าผู้คนจำนวนมากก็ยังไม่ให้ค่ามากนัก,ต้องไม่ลืมว่า,คู่ต่อสู้คราวนี้คือนิกายระดับห้า!

ทรัพยากรระหว่างสำนักและนิกายนั้น,โดยปรกติแล้วไม่สามารถนำมาเทียบกันได้เลย.

กับสิ่งที่ทุกคนคิดในเวลานี้,ย่อมแตกต่างกันกับเจ้าเมืองเซี่ยคิด.

ต้องไม่ลืมว่าเขาเป็นหนึ่งในคนที่ได้เห็นการประเมินก่อนหน้านี้,เข้าใจดีว่า,ศิษย์ของสำนักไท่กู่เจิ้งนั้น,รอเวลาที่จะโชติช่วงโบยบินเท่านั้น.

“เจ้าสำนักจุน.”

เจ้าเมืองเซี่ยเอ่ย,”การท้าทายนิกายเซิ่งชวน,เซี่ยโหมวและประชาชน 3.6 ล้านคน,พร้อมใจเชียร์อยู่ข้างท่าน!

จุนซ่างเซียวถึงกับมองบนเอ่ยออกมาว่า,”เช่นนั้น,การที่เดินทางมาวันนี้,เพื่อที่จะมากินอาหารอย่างเดียวงั้นรึ?”

ทั้งสองที่เดินตรงไปยังโรงอาหาร,ที่ด้านหน้ามีอาหารเจ็ดแปดอย่าง,พร้อมกับสุราที่ส่งกลิ่นหอม.

เจ้าเมืองเซี่ยเผยยิ้ม,”เจ้าสำนักจุนมีอาหาร,เซี่ยโหมวมีสุรา,ถือว่าเท่าเทียมกัน.”

กล่าวจบ,เขาที่ถือตะเกียบคีบอาหารเข้าปาก,เผยท่าทางพึงพอใจเป็นอย่างมาก.

อาหารของหลิวหว่านซี่นั้น,ได้กินครั้งหนึ่งถึงกับลืมไม่ลง,แม้แต่ทำให้เขาต้องดินทางกลับมาลิ้มลองอีกครั้ง.

จุนซ่างเซียวที่ดื่มเหล้าเคล้าสุราพูดคุยกับเจ้าเมืองเซี่ย,เกี่ยวกับเรื่องราวในยุทธภพ.

หลังจากดื่มสุราไปสามไห.

เซี่ยกวนคุนก็ถอนหายใจแรง,ใบหน้าเผยความเศร้าออกมา.

“ทำไมเจ้าเมืองเซี่ยต้องถอนหายใจด้วยล่ะ?”จุนซ่างเซียวเอ่ย.

เซี่ยกวนคุนดื่มสุรา,กล่าวออกมาว่า,”เซี่ยโหมวได้รับข่าวมาว่า,ภายในจังหวัดซีหนานหยาง,มีหลายมนทลที่เตรียมทำสงคราม,เกรงว่าจะมีสงครามเกิดขึ้นในเร็ว ๆนี้.”

จุนซ่างเซียวเอ่ย,”ไม่ใช่ว่าอยู่ในอาณาจักรเดียวกัน,ทำไมต้องทำสงครามกันด้วยล่ะ?”

“ภายในจังหวัดซีเหนียนหยางนั้น,แต่ละมนทลปกครองกันเองอย่างอิสระ,สงครามที่เกิดขึ้นก็เพราะต้องการแย่งชิงทรัพยากร.”

“มันก็เหมือนการแข่งขันอย่างหนึ่งเพื่อยกระดับตัวเอง,ทำไมเจ้าเมืองเซี่ยต้องเป็นกังวล.”

“เซี่ยโหมวเกรงว่า,มีบางมนทลที่ต้องการขยายดินแดน,แล้วกลืนกินมนทลชิงหยางของพวกเราไป.”

จุนซ่างเซียวที่กลายเป็นเงียบ.

มนทลชิงหยางดินแดนระดับเก้า,ถือว่าอ่อนแอที่สุดในจังหวัดซีเหนียนหยาง,หากว่ามีมนทลอื่นต้องการขยายดินแดง,ดูเหมือนว่าจะตกเป็นเป้าหมายก่อนใคร.

เซี่ยกวนคุนเอ่ย,”หลายพันปีก่อน,จังหวัดซี่เหนียนหยางมีมนทลมากกว่า 500,ตอนนี้เหลือเพียง 200 เท่านั้น.”

“ 300 กว่ามนทลโดนกลืนกินไปแล้วอย่างงั้นรึ?”จุนซ่างเซียวเอ่ย.

“ไม่ผิด.”

เซี่ยกวนคุนที่ดื่มสุรา,ใบหน้าเผยท่าทางตื่นตระหนกขึ้นมามากขึ้นและก็มากขึ้น,ก่อนที่จะเอ่ยออกมาว่า,”มนทลชิงหยางของพวกเรา,หากว่าเกิดสงครามขึ้นล่ะก็,ผู้คนมากมายจะต้องตกตายไปเป็นจำนวนมาก.”

“อีกอย่าง.”

เขาหยุดและเอ่ยออกมาว่า,”ผู้พิทักษ์ของมนทลเจิ้นหยางดินแดนระดับหกมีความทะเยอทะยานเป็นอย่างมาก,และยังอยู่ไม่ไกลกับมนทลของเรา,หากเขาเริ่มสงคราม,ต้องมุ่งเป้ามายังมนทลชิงหยาง,และมนมนทลเหอหยางดินแดนระดับแปดแน่นอน.”

จุนซ่างเซียวที่ยกสุราขึ้นดื่ม,”ข้าคิดว่าดินแดนที่ไกลห่างขนาดนี้จะสงบ,ไม่คิดเลยว่ามนทลชิงหยางของข้าจะอยู่ในสถานะการณ์อันตรายเช่นนี้.”

“เจ้าเมืองเซี่ย.”

เขาที่รินสุราสุราเติมแล้วเอ่ยออกมาอย่างจริงจัง,”สำนักไท่กู่เจิ้งของข้าอยุ่ในมนทลชิงหยาง,เป็นคนของมนทลชิงหยาง,หากมีสงครามเกิดขึ้น,ต้องสู้เพื่อบ้านเกิดแน่นอน.

“ฟรึบ!

เซี่ยกวนคุนลุกขึ้น,ยกแก้วสุราขึ้นเอ่ยออกมาว่า,”เซี่ยโหมวขอดื่มคารวะแทนประชาชน 3.6 ล้านคนของมนทลชิงหยางด้วย!

จุนซ่างเซียวที่ลุกขึ้นถือถ้วยสุรากล่าวออกมาว่า,”เป็นเกียรติอย่างยิ่ง.”

ทั้งสองที่ดื่มเสร็จก็นั่งลง.

“ใช่แล้ว.”

เขาที่เอ่ยถามด้วยความสงสัย,”เจ้าเมืองเซี่ย,ใครคือผู้พิทักษ์ของมนทลชิงหยางของเรา?”

เจ้าเมืองเซี่ยที่เป็นจัดแจงดูแลธุรกิจของเมือง,ส่วนผู้พิทักษ์มีหน้าที่ในการปกป้องมนทล,ซึ่งแน่นอนว่ามีอำนาจมากกว่าเจ้าเมือง.

จุนซ่างเซียวที่อยู่แต่ในพื้นที่ของตัวเอง,เกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดของมนทลได้ตรวจสอบมาบ้าง,แต่ก็ไม่เคยได้ยินและเห็นผู้พิทักษ์มนทลชองตัวเองเลย,ราวกับว่าไม่มีตัวตนอยู่จริง.

“เฮ้อ.”

เซี่ยกวนคุนถอนหายใจเอ่ยออกมาว่า,”ผู้พิทักษ์ของมนทลชิงหยาง,เทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง,ตั้งแต่ที่ข้าเป็นเจ้าเมือง,เคยเห็นหน้าเพียงสองครั้ง.”

เทพเจ้ามังกรเห็นหัวมิเห็นหาง (龙见首不见尾) เปรียบเปรย คนที่มีนิสัย ผลุบ ๆ โผล่ ๆ

“ลึกลับขนาดนั้นเลยรึ?”จุนซ่างเซียวตะลึงงัน.

เซี่ยกวนคุนส่ายหน้าไปมา,กล่าวออกไปว่า,”อย่าถามเลย,หากไม่มีกิจก็ไม่มีทางได้เห็นหน้า.”

.”...”

เขาหยุดเอ่ยและเอ่ยออกมาอย่างจริงจัง,”ผู้พิทักษ์มนทลนั้นแข็งแกร่งมาก,หลายสิบปีก่อน,เคยออกมาปกป้อง ต่อสู้กับผู้พิทักษ์มนทลระดับแปดเอาไว้.”

“อย่างงั้นรึ?”

จุนซ่างเซียวที่กล่าวด้วยความสนใจ,”แล้วผู้พิทักษ์มนทลของเรานามอะไร,อายุ,และพลังบ่มเพาะเท่าไหร่?”

เซี่ยกวนคุนเอ่ย,”ผู้พิทักษ์มนทลมีนามว่าอวิ๋นเหอ,อายุคงจะ 30-40 ปี,ตั้งแต่ต่อสู้กับผู้พิทักษ์มนทลระดับแปด,เขาน่าจะมีพลังบ่มเพาะ,บรรพชนยุทธ์ขั้นที่แปด.”

อวิ๋นเหอ.

เพียงแค่ชื่อก็เพียงพอแล้วว่าเป็นเมฆที่ล่องลอยไร้การผูกมัด!

บรรพชนยุทธ์ขั้นที่แปด,ทำให้จุนซ่างเซียวประหลาดใจเช่นกัน,ยอดฝีมือเช่นนี้,สามารถเป็นอาวุโสของนิกายระดับห้าได้เลย.

“แล้วเขามีรูปร่างหน้าตาอย่างไร?”

กับผู้พิทักษ์มนทลที่ลึกล้ำเช่นนี้,ทำให้จุนซ่างเซียวรู้สึกสนใจ,ต้องการจะพูดคุยด้วยเช่นกัน.

“ผู้พิทักษ์มนทลอวิ๋นนั้นชอบสวมเสื้อสีน้ำเงิน,ถือน้ำเต้าสุราไปใหนมาใหนตลอดเวลา,ใบหน้าที่ยังไม่แก่,แต่มีผมขาว,”เซี่ยกวนคุนกล่าว.

“เป็นคนที่มีบุคลิกภาพพิเศษ.”

จุนซ่างเซียว,เอ่ยออกมาว่า,”หากว่ามีโอกาส,จะสามารถพบกับผู้พิทักษ์มนทลอวิ๋นได้อย่างไร?”

“ค่อนข้างยาก.”

เซี่ยกวนคุนเอ่ย,”ผู้พิทักษ์มนทลอวิ๋นที่ผลุบ ๆ โผล่ ๆ,ไม่มีใครรู้ว่าอยู่ใหนตอนนี้,ชอบท่องเที่ยวชื่นชมธรรมชาติ.”

“มีข่าวอยู่หลายครั้ง,ว่าอยู่ในมนทลอื่น,แต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใดกันแน่.”

เป็นชีวิตที่อิสระจริง ๆ,จุนซ่างเซียวเองก็อยากใช้ชีวิตเช่นนั้นเหมือนกัน,ท่องเที่ยวไปทั่วทวีป,หากไม่เพราะว่ามีภารกิจหลัก,และต้องพัฒนาสำนักเต็มกำลังล่ะก็,เขาต้องออกเดินทางอย่างแน่นอน.

เป็นดั่งเมฆที่ลอยไปมาไร้ทิศทาง?

ท่องเที่ยวชื่นชมธรรมชาติ?

กับชีวิตที่มีความสุขเช่นนี้,คงยากจะทำได้ในฐานะเจ้าสำนัก.

“มา,ดื่ม!


ที่มา https://lnmtl.com/novel/strongest-sect-of-all-times

#นิยายแปล #Strongest Sect of All Times #นิกายที่แข็งแกร่งที่สุดนิรันดรกาล.
Author(s)
Goodbye Jianghu


เข้ากลุ่มลับ VIP ====> Click


 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น