Strongest Sect of All Times Chapter 264 The population incurs fully, sect mission opens again
นิกายที่แข็งแกร่งที่สุดนิรันดรกาล
Chapter 264 The
population incurs fully, sect mission opens again
人数招满,门派任务再开启
เพราะว่าเสียเวลาระหว่างทาง,จุนซ่างเซียวจึงใช้เวลาสองชั่วยามจึงเดินทางถึงเมืองซุนหยาง.
“ปู่ลู่...”เด็กสาวยังคงสะอื้นบนไหล่ของหลิงหยวนเสวี๋ยเบา
ๆนางร้องไห้จนเหนื่อยล้าหลับไปช้า ๆ.
“เจ้าสำนัก.”
หลี่ชิงหยางจ้องมองไปยังนาง,กล่าวออกมาว่า,”เด็กสาวคนนี้น่าสงสารนัก.”
จุนซ่างเซียวส่ายหน้าไปมา,กล่าวออกไปว่า,”ในโลกนี้มีคนน่าสงสารมากมาย,ที่ไม่มีคนเห็นยื่นมือเข้าไปช่วย.”
“ทราบแล้ว.”
หลี่ชิงหยางรู้ดีว่าเจ้าสำนักนั้นปากร้ายใจดี.
ทั้งที่เคยช่วยเขา,ช่วยศิษย์น้องเซียว,แม้แต่เด็กสาวคนนี้,แม้นว่าจะพูดเช่นนั้นแต่ในใจกลับมีเมตตา.
ศิษย์หลายคนย่อมรู้หากแต่ไม่ได้เอ่ยออกมา.
หากลู่เชียนเชียนอยู่ในเหตุการณ์,บางทีคงกล่าวเหน็บแนมเขาไปเรียบร้อยแล้ว.
“ไปเถอะ.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย,”เข้าไปในเมือง.”
เหมือนกับก่อนหน้านี้.
หลังจากเข้ามาในเมืองซุนหยาง,ก็เดินทางไปยังตำหนักเจ้าเมือง,บอกกล่าวแจ้งว่าจะขอรับศิษย์ในเมืองนี้.
เจ้าเมืองซุนหยางที่รับรู้ว่าศิษย์สำนักไท่กู่เจิ้งที่ได้ชัยชนะเลิศต่างมนทลมา,แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่ขัดข้อง.
เขาและเจ้าเมืองอ้าวคิดเหมือนกัน,เรื่องนี้เป็นปัญหาของกลุ่มสำนัก,ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา.
ลานเมืองซุนหยาง.
สำนักไท่กู่เจิ้งที่มาตั้งซุ้มที่นี่.
ในครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่น,พันธมิตรร้อยสำนักไม่มาหาเรือง,หลังจากลั่นกลองแจกแผ่นปลิวโฆษณา,ก็รับศิษย์
110 คน,สมาชิกจาก 602,เพิ่มเป็น 712,คะแนนสนับสนุนเพิ่มจาก 104 เป็น 214.
“ดูเหมือนว่า,ยังเหลืออีกสี่เมือง,ควรแบ่งแยกศิษย์ออกไปรับสมัครหรือไม่?”จุนซ่างเซียวที่กล่าวเสียงเบา.
“เจ้าสำนัก.”
ในเวลานั้น,หลี่ชิงหยางที่เดินเข้ามา,ที่ด้านหลังมีบุรุษคนหนึ่งก้าวเดินตามมา.
แน่นอนว่าเขาก็คือนายน้อยสองของตระกูลซ่ง,นามซ่งเสวียนโจว.
ในเมืองซุนหยางแห่งนี้เขาคือพรสวรรค์อันดับหนึ่ง,ที่กลับมายืนได้อีกครั้ง,หลังจากที่บาดเจ็บหนักมา.
“เจ้าสำนักจุน.”
ซ่งเสวียนโจวที่ยกมือประสานเอ่ยออกมาว่า,”ได้ยินชื่อมานานแล้ว,โชคดีที่ได้พบ,เป็นวาสนาจริง
ๆ!”
เกี่ยวกับเรื่องของสำนักไท่กู่เจิ้ง,เขาได้ยินมาบ้าง.
และยิ่งรู้ว่าเพื่อนของเขาหลี่ชิงหยางร่วมสำนักดังกล่าว,ทำให้เขาสนใจเป็นอย่างมาก,ไม่แม้แต่ฟังการห้ามปรามของตระกูลแม้แต่น้อย.
“นายน้อยซ่ง.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย,”ชิงหยางคงจะบอกเจ้าแล้ว,สนใจที่จะเข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้งหรือไม่?”
“ฟิ้ว!”
ซ่งเสวียนโจวที่ยกมือประสานหน้าอกกล่าวออกมาว่า,”หากเจ้าสำนักไม่รังเกียจว่าซ่งโหมวเคยเป็นคนพิการลุกไม่ได้มาก่อน,ข้าก็ยินดีที่จะเข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้ง!”
จุนซ่างเซียวเอ่ย,”เปิ่นจั้วเอ็นดูเหล่าพรสวรรค์,มีหรือที่จะไม่ยินดี.”
“ปั๊บ!”
เขาที่ประทับตราลงยังใบสมัคร.
คะแนนสนับสนุนที่เพิ่มหนึ่งคะแนน,แต่ที่ยอดเยี่ยมที่สุด,คือเขาได้ศิษย์พรสวรรค์ระดับสูงอีกคนมา.
“ศิษย์ซ่งเสวียนโจว.”
ซ่งเสวียนโจวที่ยกมือประสานพลางโค้งคารวะ,”คารวะเจ้าสำนัก!”
“ตอนนี้เจ้ามีพลังบ่มเพาะเท่าใดแล้ว?”
“เปิดชีพจรขั้นที่ 10”
หากไม่เพราะว่าต้องนอนซมหลายปี,บางที่ตอนนี้เขาคงจะก้าวไปถึงระดับศิษย์ยุทธ์แล้ว.
จุนซ่างเซียวที่คิดในใจ,”ด้วยระดับพลังบ่มเพาะดังกล่าว,สามารถใช้วิชาบ่มเพาะเปลี่ยนเส้นเอ็น,ในการบ่มเพาะหลักได้.”
“กลับไปบ้านเพื่อบอกลาครอบครัวของเจ้าเถอะ.”
“ก่อนจะมาพบเจ้าสำนัก,ข้าได้กล่าวลาบิดามารดาของข้าแล้ว.”
รวดเร็วขนาดนี้เลยรึ?
หลี่ชิงหยางเอ่ย,”ก่อนมาพบเจ้าสำนัก,ข้าได้รับปากเขาด้วยคำพูดมาก่อนแล้ว,จึงได้ให้ศิษย์น้องเสวียนโจวกล่าวลา,เตรียมเดินทางไปยังสำนักไท่กู่เจิ้งของพวกเราเลย.”
เป็นเช่นนี้นะเอง.
จุนซ่างเซียวกล่าวเสียงเคร่งขรึมกลับทำคน,”เตรียมกลับสำนัก.”
ภายใต้สายตาของคนเมืองซุนหยางหลายคน,สำนักไท่กู่เจิ้งก็ค่อย
ๆนำศิษย์จากไป.
....
“เฮ้อ.”
ที่ห้องโถงของตระกูลใหญ่แห่งหนึ่ง มีใครบางคนกำลังทอดถอนใจ.
ซ่งเสวียนโจวที่ได้รับยาฟื้นฟูและกลับมายืนได้อีกครั้ง,มีคนมาหาพวกเขามากมาย,ต้องการรับไปเป็นศิษย์.
ทว่าประมุขซุนได้ประกาศให้ทุกคนได้รู้ก่อนแล้ว,บุตรชายของเขาเพิ่งฟื้นจากการบาดเจ็บ,จำเป็นต้องการเวลาสักพักในการฟื้นตัวให้ร่างกายสมบูรณ์,ดังนั้นจึงได้ปฏิเสธทุกคนไป.
ไม่คาดคิดเลยว่าจะเป็นสำนักไท่กู่เจิ้งที่ได้บุตรของเขาไป!
......
“ประมุข!”
อาวุโสคนหนึ่งที่ใบหน้าบิดเบี้ยวอัปลักษณ์,”เสวียนโจวเข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้งแล้ว,จะไม่เป็นปัญหารึ?”
“ใช่แล้ว.”
อาวุโสอีกคนที่กล่าวสนับสนุน,”จุนซ่างเซียวไม่เพียงล่วงเกินฉินเห่าหราน,ทว่ายังล่วงเกินนิกายเซิ่งชวนด้วย,การที่เสวียนโจวเข้าร่วมสำนักเช่นนี้,ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก.”
อาวุโสตระกูลซ่งต่างก็ไม่เห็นด้วยที่ซ่งเสวียนโจวเข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้ง.
พวกเขาไม่ต้องการให้ลูกหลานใช้ชีวิตอย่างประมาท,เข้าร่วมกับสำนักที่หาเรื่องผู้คนไปทั่ว.
ประมุขช่งเอ่ยออกมาว่า,”เสวียนโจวเข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้ง,เป็นการตัดสินใจของเขา,ข้าที่เป็นบิดา
มีแต่ต้องสนับสนุนเท่านั้น.”
ประมุขซ่งนั้นก็เหมือนกับประมุขหลี่ในครั้งนั้นนั่นเอง.
แน่นอน.
สำนักไท่กู่เจิ้งที่มีชื่อเสียงเมื่อเร็ว ๆนี้
ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล.
หากเป็นเหมือนเมื่อครั้งงานร้อยสำนัก,เขาก็คงเหมือนประมุขหลี่,ที่ต้องปฏิเสธห้ามบุตรของตัวเองอย่างหนัก.
อาวุโสตระกูลซ่งที่ได้แต่เงียบ.
ในเมื่อประมุขตัดสินใจเช่นนี้,พวกเขาโต้แย้งอะไรไปก็ไร้ประโยชน์.
หลังจากเลิกประชุม.
ประมุขซ่งที่ยืนอยู่ในห้องหนังสือส่องผ่านหน้าต่าง,จ้องมองออกไปด้านนอกเงียบ
ๆ,”โจวเอ๋อ,เจ้าตัดสินใจเข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้งด้วยตัวเอง,ไม่ว่าเส้นทางจะยากลำบากเพียงใด,ก็อย่าได้ยอมแพ้ง่าย
ๆ.”
......
สำนักไท่กู่เจิ้ง.
จุนซ่างเซียวที่นำศิษย์กลับสำนัก,และหลี่ชิงหยางจัดแจงทุกอย่างต่อ.
มีเพียงคนหนึ่งที่เขาต้องกังวล,เด็กหญิงที่ยังคงเศร้าสร้อย,หลบอยู่ที่มุมหนึ่ง,ถามอะไรก็ไม่ยอมตอบแล้วเขาจะลงทะเบียนศิษย์ได้อย่างไร?
“เจ้าสำนัก!”
หลิวหว่านซี่ที่ขันอาสา,”ข้าจะถามเอง!”
“อืม.”จุนซ่างเซียวเอ่ย.
ในเวลานี้,เขาคงทำได้แค่ให้โลลิใหญ่ไปจัดการโลลิเล็กแล้ว.
หลิวหว่านซี่ที่ทำอาหาร,เตรียมไว้ที่ตึกข้าง ๆ.
“กึก.”
จากนั้นไม่นาน,ได้ยินเพียงเสียงวางตะเกียบ.
จุนซ่างเซียวที่มองลอดหน้าต่างไป,เห็นเพียงเด็กหญิงกินอาหารอย่างอร่อย,กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา,”อาหารของพี่หลิว,หอมและอร่อยมาก!”
เป็นความจริง,อาหารของนางนั้นยากจะมีคนต้านทานมันได้.
“เจ้าสำนัก.”
ผ่านไปพักหนึ่งหลิวหว่านซี่ที่อุ้มเด็กหญิงออกมา,กล่าวด้วยรอยยิ้ม,”นางชื่อว่าเหยาเมิ่งหยิง,ยินดีที่จะเข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้งของพวกเรา.”
เขาที่จัดแจงเอกสารและปั้มตราสำนักลงไป.
“ตู้ตู้.”
จุนซ่างเซียวเอ่ยเสียงผ่านวิญญาณ,”สตรีผู้นี้กำลังเสียใจอยู่,เจ้าดูแลก็แล้วกัน.”
“อืม.”
หลิวหว่านซีเอ่ย,”เจ้าสำนัก,ข้าและเมิ่งหยิงอยู่ในห้องเดียวกันได้หรือไม่?”
“ไม่มีปัญหา.”
......
หลังจากรับศิษย์สองเมืองแล้ว,จุนซ่างเซียวก็มุ่งหน้าไปยังเมืองเหยาหยาง.
เหล่ากลุ่มพันธมิตรของเมืองหยางหยางไม่เป็นมิตรนัก.
ต้องไม่ลืมว่า,ครั้งหนึ่งในพื้นที่แห่งนี้มีสำนักหลิงชวนที่ถูกเขาทำลายไป,ดังนั้นการมาตั้งซุ้มรับสมัครที่นี่,จึงมีคนเข้ามาสร้างปัญหา.
“ไม่ยอมรับอย่างงั้นรึ?”
จุนซ่างเซียวเอ่ยกล่าวออกมาอย่างนุ่มนวล”เช่นนั้นก็ต่อสู้กับศิษย์ข้า,หากว่าชนะเขาได้ล่ะก็,ข้าจะจากไปทันที,ไม่ลงเขามารับศิษย์ที่นี่อีก.”
จากนั้น,เย่ซิงเฉินที่ก้าวขึ้นเวที.
เพียงเวลาไม่นาน,ก็เอาชนะเจ้าสำนักกว่า 30
คนให้หงายเก๋งไร้สภาพ.
อดีตราชันย์รัตติกาลไม่ใจดีเหมือนกับเซียวจุ้ยจื่อ,คนที่ล้มหมอบไปนั้น,คงต้องใช้เวลาพักฟื้นสามถึงห้าเดือนเป็นอย่างต่ำ.
หลังจากจัดการพวกตัววุ่นว่ายแล้ว,การรับศิษย์ก็เริ่มขึ้น,ซึ่งพวกเขาได้รับศิษย์กว่า
110 คน,เพียงเวลาหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น.
วันถัดมาพวกเขาก็เดินทางไปยังเมือง ๆอื่น ๆอีก.
ไปยังเมืองฮัวหยาง,เจิ้นหยางและโซวหยาง.
หลังจากพบความปราชัยที่หนักหนาสองครั้ง,พันธมิตรร้อยสำนักก็ไม่กล้ามาหาเรื่องพวกเขาอีกต่อไป.
“ปั๊บ!”
ตราสำนักที่ประทับลงบนใบรับสมัครคนสุดท้าย,ก็ได้ยินเสียงระบบดังขึ้น.
“ติ๊ง! สมาชิกสำนัก
1000 / 1000.”
“ติ๊ง!
คะแนนสนับสนุนสำนัก : 502 / 1000.”
ศิษย์ทุกคนที่จุนซ่างเซียวนำกลับสำนักอย่างพร้อมเพรียง,วันถัดมา,ระบบได้แจ้งเตือน,ภารกิจสำนักเริ่มเปิดใช้งานเรียบร้อยแล้ว.
“มีระดับดาวบอกความยากง่าย,ขอเพียงศิษย์ทำสำเร็จทั้งหมด,ก็น่าจะยกระดับสิ่งก่อสร้างระดับสี่ได้.”
จุนซ่างเซียวที่ถูมือไปมา.
ฟังก์ชั่นเลเวลสี่ก็คือ,หอยันต์อักขระนั่นเอง.
นี่คือสิ่งที่เจ้าสำนักจุนต้องการ,เพราะว่ามียันต์รู้แจ้ง,ยันต์ป้องกันและยันต์แห่งความเร็ว,ควรจะสามารถหลอมขึ้นมาใช้งานเองได้!
ที่มา https://lnmtl.com/novel/strongest-sect-of-all-times
#นิยายแปล #Strongest Sect of All Times #นิกายที่แข็งแกร่งที่สุดนิรันดรกาล.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น