Strongest Sect of All Times Chapter 263 Life this/should certainly, without means
นิกายที่แข็งแกร่งที่สุดนิรันดรกาล
Chapter 263 Life
this/should certainly, without means
命该绝,没办法
หลังจากกลับสำนักแล้ว,หลี่ชิงหยางที่จัดแจงและต้อนรับเหล่าศิษย์น้องหญิง,ชายเข้าที่พัก,พร้อมกับมอบชุดสำนักและตำรากฎของสำนักให้กับทุกคน.
พร้อมกับเม็ดยาอย่างพร้อมเพรียง.
จุนซ่างเซียวที่นั่งอยู่ในห้องโถง,เอ่ยออกมาเสียงเบา,”เมื่อพวกเขาก้าวไปถึงเปิดชีพจรขั้นที่สิบสอง,ก็จะสามารถทดสอบยกระดับเป็นสำนักขั้นเจ็ดได้.”
จุนซ่างเซียวที่ยังคงบ่นพึมพำ.
สำนักระดับเจ็ด,เจ้าสำนักมีระดับอาจารย์ยุทธ์,
50 ศิษย์ยุทธ์,500 เปิดชีพจรขั้นที่สิบสอง.
จุนซ่างเซียวที่มีระดับอาจารย์ยุทธ์ขั้นหก,ตรงตามเงื่อนไข.
ส่วน 50 ศิษย์ยุทธ์.
อ่ะ! โทษที,หากไม่นับศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้ามา,ศิษย์
501 คน,ล้วนแต่มีระดับศิษย์ยุทธ์ทั้งหมด.
ที่ยังยกระดับสำนักไม่ได้,เพราะต้องการศิษย์เปิดชีพจร
ขั้นที่สิบสอง 500 คน,ศิษย์ยุทธ์ 50 ,เมื่อไหร่ที่มีระดับเปิดชีพจรครบห้าร้อย อย่างต่ำก็ต้องมีสมาชิกมากกว่า
550 คน จำนวนสมาชิกในสำนักเขายังไม่พอเท่านั้น.
ตอนนี้เขาเพิ่มศิษย์จาก 502 เป็น 602
,เพียงแค่ฝึกฝนให้มีระดับเปิดชีพจรขั้นที่ 12 ครบ,ก็จะสามารถทำเรื่องยกระดับสำนักได้.
เจ้าสำนักจุนยังไม่พอใจกับจำนวนศิษย์ 600
คนในเวลานี้,ดังนั้นจึงต้องการรับศิษย์เพิ่มอีก,และตัดสินใจเลือกเมืองซุนหยางที่ใกล้ที่สุดเป็นเมืองต่อไป.
“เจ้าสำนัก.”
หลี่ชิงหยางเอ่ย,”ข้ามีสหายที่เมืองชิงหยาง,ข้าขอติดตามไปในครั้งนี้ด้วย.”
“ตกลง.”
จุนซ่างเซียวให้เซียวจุ้ยจื่อพักบ่มเพาะอยู่ในสำนัก,และนำศิษย์ลำดับสองและพวกจางเหว่ยเดินทางไปในเช้าวันถัดมา.
เมืองซุนหยางเป็นหนึ่งในแปดเมืองของมนทลชิงหยาง.
ก่อนที่ตระกูลอ้ายจะเปิดประมูลเม็ดยาฟื้นฟูนั้น,นายน้อยสองจากตระกูลซ่งที่เป็นคนทดลองยา,เป็นคนของตระกูลซ่งเมืองซุนหยาง.
เรื่องนี้นับเป็นอะไรที่บังเอิญเป็นอย่างมาก.
เพื่อนของหลี่ชิงหยางก็คือนายน้อยสองตระกูลซ่งนั่นเอง.
หนึ่งคือพรสวรรค์อันดับหนึ่งของเมืองชิงหยางและอีกหนึ่งก็คือพรสวรรค์อันดับหนึ่งของเมืองซุนหยาง.
ทั้งคู่ในอดีตที่พบกันบังเอิญในป่าเขา, ขณะออกไปไล่ล่าสังหารสัตว์ร้าย,จนได้ร่วมมือกันพร้อมทั้งสร้างมิตรภาพขึ้นมา.
แต่หลังจากที่นายน้อยสองตระกุลซ่งบาดเจ็บจนกลายเป็นอัมพาต,เขาไม่ได้ออกมาล่าสัตว์อีกเลย.
และด้วยเหตุนั้น,พวกเขาจึงไม่ได้ติดต่อกัน.
จนกระทั่งเมื่อเร็ว
ๆนี้เขาได้ข้อมูลจากหอฝนพรำ,ว่าสหายที่เขาเคยสนิทด้วยกันนั้น,ตอนนี้ได้รับเม็ดยาฟื้นฟูของเจ้าสำนักและกลับมายืนได้แล้ว.
“ฮึ.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย,”เม็ดยาฟื้นฟูของเปิ่นจั้วไม่เพียงช่วยเหลือเจ้า,ทว่ายังช่วยเหลือสหายของเจ้าด้วย,บางทีนี่คงเป็นชะตาลิขิต.”
หลี่ชิงหยางเอ่ยออกมาอย่างจริงจัง,”ดังนั้นศิษย์เดินทางมาพบสหายในครั้งนี้,จึงคาดหวังจะโน้มน้าวเขา,เข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้งได้.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย,”เช่นนั้นก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว.”
แม้นว่าเขาจะไม่ได้สนใจพรสวรรค์ของศิษย์นัก,ทว่าหากเลือกได้,การได้ศิษย์ที่มีรากวิญญาณระดับสูง,ก็เป็นเรื่องที่ดี.
เส้นทางไปยังเมืองซุนหยางนั้นมีหลายเส้น,ทว่าจุนซ่างเซียวเลือกเส้นทางผ่านเทือกเขา,เพราะว่ามันใช้เวลาเดินทางได้รวดเร็วนั่นเอง.
อย่างไรก็ตาม.
ขณะที่เข้าเดินทางเข้ามาอยู่กลางป่านั้น,ก็ได้ยินเสียงของสัตว์ร้ายที่ดังลั่น.
หลี่ชิงหยางเอ่ย,”เจ้าสำนัก,สัตว์ร้ายกำลังโจมตีมนุษย์.”
“ไป.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย,”เข้าไปดู.”
เสียงคนที่ขอความช่วยเหลือ.
จากนั้น,ก็พบว่าบนศิลาก้อนหนึ่ง,มีเสือดาวที่กำลังกัดร่างของชายผู้หนึ่งอยู่.
เสื้อผ้าของชายคนดังกล่าวมีคมเขี้ยวและลอยกงเล็บเต็มไปหมด,โลหิตไหลซึมออกมาจากทุกที่.
“ฆ่า.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย,”เก็บแกนผลึกมาด้วย.”
“ฟิ้ว!”
หลี่ชิงหางที่ใช้ท่าเท้าเหยียบเมฆาพุ่งเข้าไป,ใช้กระบี่หานเฟิงตะวัดกลายเป็นริ้วแสง,ตัดคอเสือดาวระดับต่ำขั้นสองในทันที.
“พรึด ซี่!”
หน้าอกของมันที่ถูกเปิด,นำแกนผลึกออกมา.
“ใช้ได้.”จุนซ่างเซียวเอ่ย.
ขณะจ้องมองไปยังแกนผลึก.
หลี่ชิงหยางที่เก็บแกนผลึก,ขณะจ้องมองไปยังร่างที่ถูกเสื้อดาวขย้ำ,ส่ายหน้าไปมา,”เจ้าสำนัก,เขาตายแล้ว.”
“มีชีวิตก็แปลกแล้ว.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย,”พวกเรารีบไปกันเถอะ.”
ในกลางป่าเช่นนี้,เมื่อกลิ่นโลหิตที่โชยออกไป,ย่อมล่อสัตว์ร้ายมากมายเข้ามาหาและนั่นจะสร้างความยุ่งยากให้กับพวกเขา.
“หืม.”
หลี่ชิงหยางที่เก็บกระบี่อยู่นั้น.
ทว่าจับจ้องมองไปที่ใต้เท้า,และหงายศพขึ้น,ขณะพลิกนั้น.
ที่ช่องผ้าตรงอกของศพนั้น,มีร่างของเด็กสาวเปื้อนโลหิตไหลออกมา.
“เจ้าสำนัก.”
หลี่ชิงหยางเอ่ย,”มีเด็กสาวคนหนึ่ง.”
จุนซ่างเซียวที่หันกลับไป,จ้องมองไปยังศพ ที่หลี่ชิงหยางพลิกขึ้นมา,ทันใดนั้นเขาก็จำได้ทันที,ไม่ใช่ชายชราที่เมืองหลี่หยางหรอกรึ?
เป็นไปได้ว่า....
เด็กสาวคนนี้.
คือเด็กสาวที่มีอายุ 7-8
ขวบที่เรียกปู่ลู่หรอกรึ?
เด็กสาวที่ราวกับหวาดกลัวเป็นอย่างมาก,ร่างของนางที่กระตุกสั่นไม่หยุด.
“ปู่ลู่.......”
ยิ่งนางเห็น,ศพของชายชรา,ยิ่งอดทนไม่ได้,ร้องไห้โหยหวนขึ้นมาทันที.
หลี่ชิงหยางเอ่ย,”เจ้าสำนัก,ชายชราคนนี้ คงจะปกป้องนาง,กอดนางซ่อนเอาไว้ในอก,ยอมให้สัตว์ร้ายฉีกร่างของเขาแทน.”
จุนซ่างเซียวส่ายหน้าไปมา,”ไม่มีความแข็งแกร่งพอ,ไม่ควรจะเลือกเส้นทางที่มีความเสี่ยงเช่นนี้.”
......
บนพื้นที่ป่าแห่งหนึ่ง,มีกองพูนหลุมศพ,และป้ายศิลาที่ปักเอาไว้,มีชื่อที่สลักบนแผ่นหินเอาไว้ว่า,สุสานปู่ลู่.
เด็กสาวตัวเล็กที่คุกเข่าลงด้านหน้า,ดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาสะอื้นเป็นระยะ
ๆ.
“เจ้าสำนัก.”
หลี่ชิงหยางที่อดไม่ได้จนต้องกล่าวออกมาว่า,”เด็กคนนี้น่าสงสารนัก,พวกเราควรจะรับนางเป็นศิษย์.”
เขาที่ได้ยินเรื่องราวจากปากของศิษย์น้องเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองหลี่หยางวันก่อน,ก็รู้ว่าเด็กคนนี้ไม่มีพ่อแม่.
ตอนนี้ชายชราตายไปแล้ว,นางไร้ญาติขาดมิตร,จะอยู่คนเดียวในโลกที่โหดร้ายเช่นนี้ต่อไปได้อย่างไร?.
แม้นว่าจะสังหารคนมามากมาย,ทว่าเรื่องบางเรื่อง,ภายในใจของหลี่ชิงหยางก็มีความอ่อนโยนอยู่เช่นกัน.
จุนซ่างเซียวเอ่ย,”ตกลง.”
เขาเองก็ไม่ใช่คนเลือดเย็นไร้ปราณี,ในเมื่อพบกันกลางป่า,คงทำได้เพียงรับนางเป็นศิษย์,เขาจะปล่อยให้นางไปตามยถากรรมได้อย่างไร.
หลิวหว่านซี่ที่รู้เรื่องของนาง,นางที่เศร้าและแอบร้องไห้ออกมาเช่นกัน.
“หลิงเสวี๋ย.”
“อยู่นี่แล้ว!”
“อุ้มนางมา.”
“อ๋า?”
หลิงหวนเสวี๋ยที่รับคำสั่งเจ้าสำนัก,กอดเด็กหญิงตัวน้อย,ที่เวลานี้กำลังร้องไห้อยู่หน้าหลุมศพของปู่ลู่.
“ออกเดินทาง,ไปยังเมืองซุนหยาง.”
จุนซ่างเซียวที่นำศิษย์เดินทางต่อไป.
เด็กสาวนามเมิ่งหยิง,เวลานี้นางที่ได้แต่ร้องไห้จ้องมองไปยังหลุมศพที่ค่อยๆไกลออกไป.
แม้นว่าปู่ลู่จะไม่มีสายโลหิตเดียวกับนาง,แต่ในโลกใบนี้คือสมาชิกครอบครัวของนาง,ตอนนี้ได้จากนางไปเรียบร้อยแล้ว.
......
หลังจากที่กลุ่มของจุนซ่างเซียวจากไปแล้ว,หลุมศพที่เพิ่งขุดขึ้นใหม่กำลังสั่นไปมา,แขนที่ผุดขึ้นมาในทันที.
“ฟิ้ว!”
ร่างของชายชราที่ตายไปแล้ว,ได้ลุกขึ้นจากความตาย.
หากมีคนได้เห็นภาพที่เกิดขึ้น,คงจะขวัญหนีดีฝ่ออย่างไม่ต้องสงสัย.
“ฟู่!”
ชายชราที่นั่งบนป้ายหลุมศพพร้อมกับถอนหายใจหลายครั้ง.
เขายังมีชีวิต? เขายังไม่ตายอย่างงั้นรึ?
“เด็กน้อย.”
เขาที่ผ่อนคลายลง,จ้องมองไปยังทิศทางที่จุนซ่างเซียวจากไป,ชายชราเอ่ยออกมาว่า,”สายตาของข้าไม่ผิดพลาด,สำนักไท่กู่เจิ้งไม่ธรรมดา,หวังว่าหลังจากนี้เจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นในสำนัก.”
“ไม่.”
เขาที่หยุดและเอ่ยออกมาว่า,”จงใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยไร้กังวลเถอะ.”
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
เวลานั้นมีชายชุดดำที่ปรากฏขึ้น,คุกเข่าอยู่ด้านหลังชายชรา,ราวกับเป็นผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์.
“ผู้พิทักษ์ลู่.”
ชายคนหนึ่งที่กล่าวเสียงเบา,”เมื่อไหร่จะกลับเทือกเขามาร?”
ชายชราที่แต่งตัวเหมือนกับขอทาน,กลิ่นอายแห่งความมืดที่กวาดม้วนร่างของเขาในทันที,รวมตัวกันเป็นชุดเกราะรบสีดำ.
สายตาที่ดำมืดเย็นชาเอ่ยออกมาว่า,”อนาคตของนายน้อยผู้นี้
กำลังรอคอยเวลาที่เหมาะสม,พวกเราต้องเก็บเนื้อเก็บตัวก็เพื่อนายท่านจอมมาร.”
ในวันนั้น,มีเงาร่างสีดำหลายร่างที่พุ่งผ่านป่าเขาแผ่กลิ่นอายที่ดำมืดออกมา,ทำให้สัตว์ร้ายมากมายต้องหนีหายด้วยความหวาดกลัว!
ที่มา https://lnmtl.com/novel/strongest-sect-of-all-times
#นิยายแปล #Strongest Sect of All Times #นิกายที่แข็งแกร่งที่สุดนิรันดรกาล.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น