Strongest Sect of All Times Chapter 111 On again Spirit Spring Mountain( cultivates)
นิกายที่แข็งแกร่งที่สุดนิรันดรกาล
Chapter 111 On again
Spirit Spring Mountain( cultivates)
再上灵泉山(修)
ด้วยเม็ดยาเปิดชีพจรและวิชาบ่มเพาะเปลี่ยนเส้นเอ็นคู่กัน,ทำให้หลิวหว่านซีสามารถเชื่อมเส้นชีพจรเส้นที่ห้าได้โดยง่าย.
หลังจากนั้น,จุนซ่างเซียวที่เรียกเหล่าศิษย์ที่ล้มเหลวในการเปิดชีพจรมารวมกัน.
ซึ่งมีอยู่ราว ๆ 13 คน.
สี่คนเปิดชีพจรขั้นที่สิบ,เก้าคนที่อยู่ในระดับเปิดชีพจรขั้นที่สิบเอ็ด.
หากพวกเขาไม่มีความพยายามเพียงพอ,มีความมุ่งมั่นที่จะเปิดชีพจร,ถึงแม้นว่ามีวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็นที่ช่วยเพิ่มโอกาสเปิดชีพจร,ก็ไม่มีทางทำสำเร็จ,ดังนั้นจึงต้องมีการกระตุ้น.
เขาที่ต้องการให้พวกเขาพยายามให้ไปถึงขั้นที่สิบสองเร็วที่สุด,13
ศิษย์ที่คล้ายว่าจะตำหนิตัวเองจนจิตใจห่อเหี่ยว,รู้สึกระอายกับทรัพยากรที่เจ้าสำนักได้มอบให้.
จุนซ่างเซียวที่เห็นท่าทางของพวกเขา,จึงได้แจกจ่ายยาเปิดชีพจรให้พวกเขาคนละสามเม็ด,พร้อมกับเอ่ยกระตุ้นออกมาว่า,”ล้มเหลวก็แค่เพียงชั่วคราว,ไม่ได้หมายว่าจะล้มเหลวตลอดไป,จงฝึกฝนอย่างไม่ย่อท้อ,แล้วพวกเจ้าจะทำสำเร็จ.”
ระบบเอ่ย,”โฮสน์ดูเหมือนเจ้าสำนักมากขึ้นมากขึ้นแล้ว.”
พูดอะไรอย่างนี้.
ก่อนหน้านี้ข้าไม่เหมือนเจ้าสำนักรึอย่างไร?
ก่อนหน้านี้ร่างกายผอมกระหร่อง,ดูไม่มีเค้าเจ้าสำนักเลย,ตอนนี้เมื่อพลังบ่มเพาะยกระดับขึ้น,ร่างกายแข็งแกร่งมีกล้ามเนื้อ,ดูมีเสน่ห์,แต่ยังขาดการวางท่าของการเป็นเจ้าสำนัก.
ทว่าขาดแล้วอย่างไร.
สิ่งที่ขาด,มันคือท่าทางรูปแบบของยอดฝีมือระดับ!
เรื่องแบบนี้ไม่สามารถฝึกฝนกันได้,เจ้าสำนักจุนต้องมีพลังที่แท้จริง,เจ้าสำนักต้องมีสง่าราศี,ไม่ต้องบอกเลยว่าเมื่อครอบครองแผ่นดินใหญ่แล้ว,อย่างน้อยต้องมีความน่าเกรงขามสูงส่งอย่างกษัตริย์แผ่ออกมา.
ไม่ใช่มีระดับสูงแล้ว,กับไม่มีมาดอะไรเลย.
นับตั้งแต่จุนซ่างเซียวข้ามมิติมายังทวีปซิงเฉิน,เขาที่ต้องการที่จะแข็งแกร่งมาก,ทว่าอย่างน้อยในความฝันของเขาก็ต้องมีหญิงสาวผู้งดงามมากมายมาคอยปรนนิบัติรับใช้.
ระบบที่กล่าวแขวะ,”หมาเดียวดาย(คนโสด),ไปพักผ่อนอาบน้ำนอนเถอะ”
......
洗洗睡 :xǐ xǐ shuì แปลว่าไปพักผ่อนอาบน้ำนอนเถอะ
“单身狗” ตานเชินโก่ว
แปลว่า โสด
หลังจากศิษย์ 13
คนได้รับเม็ดยาเปิดชีพจร,เก้าคนที่ตัดผ่านระดับไปยังเปิดชีพจรขั้นที่สิบสองได้ทันที,อีกสี่คนก็ตัดผ่านระดับไปยังขั้นที่สิบได้เช่นกัน.
อะไรกันนี่?
โอกาสสำเร็จร้อยเปอรเซ็น อ๊าก!
เช้าวันถัดมา,เขาที่รับรู้ว่าศิษย์สามารถเปิดชีพจรได้ง่ายดย,ก็รู้สึกพึงพอใจมาก,”หลังจากนี้หากรับศิษย์ใหม่,ขอเพียงรวบรวมพลังวิญญาณเพื่อทะลวงจุดได้,การตัดผ่านระดับรวบรวมเส้นชีพจรก็จะเป็นเรื่องเล็ก
ๆ.”
“น่าเสียดาย,จุ้ยจื่อและซิงเฉินออกไปหาประสบการ,ไม่เช่นนั้นข้าคงจะมอบเม็ดยาให้พวกเขา,ไว้ให้พวกเขากลับมาค่อมอบให้ยกระดับก็แล้วกัน.”
ด้วยทักษะเปลี่ยนเส้นเอ็นและเม็ดยาเปิดชีพจรคู่กัน,สามารถที่จะเปิดจุดชีพจรให้สำเร็จร้อยเปอรเซ็น,เรื่องนี้น่ากลัวมาก,หากว่าแพร่กระจายออกไปคงสะเทือนไปทั่วมนทลแน่!
น่าเสียดาย.
ไม่มีใครรู้.
ถึงสำนักไท่กู่เจิ้งจะมีสิ่งสุดยอดนี้,แต่ก็เหมือนกับมดตัวเล็ก
ๆในกลุ่มฝูงของชาวยุทธ์มากมาย,ไม่อยู่ในสายตาให้ใครต้องจับตามอง.
......
การประลองใกล้เข้ามาแล้ว.
หลี่ชิงหยางที่นั่งสมาธิอยู่ภายในค่ายกลรวมวิญญาณ.
เขาที่รวบรวมพลังวิญญาณ,พลังวิญญาณที่ปกคลุมร่างกายของเขาหลายชั้นราวกับรังไหมที่กำลังสานคลุมร่างเอาไว้.
ซูเซียวโม่และคนอื่นรู้ว่าศิษย์พี่รองจะเป็นตัวแทนไปต่อสู้กับศิษย์สายในของนิกายเซิ่งชวน,ดังนั้นสองวันมานี้จึงไม่มีใครเข้ามาในค่ายกล,ด้วยเกรงว่าจะมารบกวน.
“พรึด ซี่.”
เพียงไม่นาน,ศิลาวิญญาณก้อนสุดท้าย,เพราะว่าพลังวิญญาณถูกดูดซับไปจนเกลี้ยง,มันจึงคล้ำเปราะและแตกสลายหล่นลงพื้น.
“ฟู่!”หลี่ชิงหยางที่พ่นลมหายใจยาว,เขาที่รู้สึกว่าพลังวิญญาณในร่างพลุ้งพล่าน,ก่อนที่จะลืมตาขึ้นมา,ดวงตาเป็นประกายวับวาว.
“ระดับศิษย์ยุทธ์ขั้นสี่,ไม่น่าจะมีปัญหา.”
เมื่อครั้งงานประลองยุทธ์สำนัก,เขาที่อยู่ในระดับศิษย์ยุทธ์ขั้นที่หนึ่ง,เมื่อกลับมาก็อยู่ในระดับสอง,ตอนนี้ด้วยศิลาวิญญาณและเม็ดยารวมวิญญาณช่วย,ทำให้เขายกระดับได้สองขั้นในสองวัน.
เขาที่เป็นพรสวรรค์อันดับหนึ่งเมืองชิงหยาง,ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาที่มีพรสวรรค์สูง,ทว่าก่อนหน้านี้ที่บ่มเพาะได้ช้า,เพราะต้องจัดการกิจการภายในช่วยเจ้าสำนัก,ทำให้เขาไม่ได้มีเวลามากนักในการบ่มเพาะ.
เขาเองก็ไม่ได้โอดครวญ,เพราะว่าเจ้าสำนักเชื่อใจ,และเขาเองก็ยินดีที่จะทำด้วย.
ท้องฟ้าเวลากลางคืนมีเพียงแสงดาวที่ส่องประกาย.
หลี่ชิงหยางที่ก้าวออกจากค่ายกล,จากนั้นก็ต้องไปยังห้องฝึกฝนเพื่อปั้นกล้ามเนื้อ,เตรียมรับมือกับศิษย์สายในของนิกายเซิ่งชวน.
บนหลังคาห้องโถง,จุนซ่างเซียวที่นั่งอยู่สันหลังคา,ศอกที่ค้ำขา,มือที่ค้ำคางกล่าวออกมาว่า,”ชิงหยาง,หลายวันมานี้ลำบากเจ้าแล้ว.”
ลู่เชียนเชียนที่แสนเย็นชา,เซียวจุ้ยจื่อที่หมดกำลังใจ,ซูเซียวโม่ที่ซนไม่อยู่กับที่,ศิษย์แต่ละคนของเขานี่ช่างมากความสามารถกันจริง
ๆ.
ทว่าไม่ใช่เรื่องแปลก
ในสำนักที่มีศิษย์มากมายหลากหลายนิสัย.
หลี่ชิงหยางเป็นคนที่เอาจริงเอาจังและสุขุม,ทำให้จุนซ่างเซียวชื่นชอบที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย.
ครั้งนี้ให้เขาออกไปต่อสู้,ไม่เพียงแต่ให้เขาได้สร้างชื่อเสียง,ยังทำให้เขาดูเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำของเหล่าศิษย์น้องด้วย.
......
เช้าวันถัดมา.
ดวงตะวันทอแสง,หลิวหว่านซีที่ก้าวออกจากห้องครัว,เตรียมอาหารเช้า,โดยมีหม่าหยงหนิงและสองอดีตมือสังหารคอยช่วยเหลือเป็นลูกมือ.
จากนั้น,ไม่นานเหล่าศิษย์ที่เข้าแถวกันเข้ามากินอาหารเช้า.
หลี่ชิงหยางเองก็มา,แม้นว่าเขาจะเข้าใช้ห้องปั้นกล้ามเนื้อทั้งคืน,ทว่าร่างกายของเขากับเปี่ยมล้นด้วยพลัง.
ซูเซียวโม่ที่เดินเข้ามา,ยกถ้วยซุปขึ้น,”ศิษย์น้องของให้ศิษย์พี่รองเอาชนะอัดศิษย์ของนิกายเซิ่งชวนให้หงายเก๋งไปเลย,สร้างชื่อเสียงให้กับสำนักไท่กู่เจิ้งของเรา!”
กล่าวเสร็จ,เขาก็ยกถ้วยซุปขึ้นซด.
“แอ๊ก!”
เขาที่แลบลิ้นออกมา,ก่อนที่จะเต้นไปมา,”ร้อน! ร้อน!”
ศิษย์คนอื่น ๆเองก็ทำตาม,ภายในโรงอาหารที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น.
หลิวหว่านซีที่สวมผ้ากันเปื้อน,ใบหน้าน้อย
ๆที่ยื่นออกมาจากห้องครัว,เผยยิ้มพราย,”วันนี้ข้าตื่นแต่เช้าเป็นพิเศษ,เพื่อเตรียมอาหารหรูหราให้กับศิษย์พี่ร้องเลย.”
จากนั้น,จุนซ่างเซียวก็มา,หลังจากที่ศิษย์ทุกคนกินอาหารเสร็จ,ก็นำหลี่ชิงหยาง,ลู่เชียนเชียนและศิษย์อีกหลายคนเดินทางออกไปอยางไรกังวล.
......
เมืองเหยาหยาง,เทือกเขาหลิงชวน.
จุนซ่างเซียวที่มาครั้งแรกก็เพื่อทำลายสำนักหลิงชวน,ส่วนการมาเพื่อรับการท้ารบนี้เป็นครั้งที่สอง.
“มาแล้ว,มาแล้ว!”
“สำนักไท่กู่เจิ้งรับคำท้ารบจริง ๆ!”
“ข้าที่คิดว่า,ต่อหน้านิกายเซิ่งชวง,จะขาสั่นจนไม่กล้ามา.”
จุนซ่างเซียวที่นำศิษย์ของเขาขึ้นเขา,กวาดตามองซากปรักหักพังรอบ
ๆ,มีชาวยุทธ์มากมายที่มามุงประจำพื้นที่.
หลายวันมานี้เขาไม่ได้ลงเขา,เลยไม่รู้,เรื่องเกี่ยวกับการประลองครั้งนี้มันได้กระจายไปทั่วมนทลชิงหยางแล้ว.
กับเรื่องเช่นนี้,ชาวยุทธ์ไม่พลาดอยู่แล้ว,ดังนั้นจึงเดินทางล่วงหน้ามายังเมืองเหยาหยางตั้งแต่เมื่อวาน.
พันธมิตรร้อยสำนักเองก็มา.
ยกตัวอย่างสำนักพยัคฆ์คำราม,สำนักหมัดเหล็กที่ก่อนหน้านี้ถูกเซียวจุ้ยจื่อซัดลอยกระเด็นออกนอกหน้าต่าง.
หลังจากพวกเขาเห็นจุนซ่างเซียวและศิษย์เดินทางมาก,ที่มุมปากยกขึ้น,ราวกับกำลังเหยียดหยันอยู่.
ไอ้หนู.
การถอนตัวจากพันธมิตรต้องขอบคุณเจ้าจริง ๆ.
ทำให้สำนักหลิงชวนที่น่าเคารพไม่เอาเรื่องพวกเรา,ไม่เช่นนั้นพวกข้าไม่มีทางที่จะยอมเจ้าแน่!
“เฮ้ เฮ้.”
จุนซ่างเซียวที่เผยยิ้ม,”นี่คนมากกว่างานประลองสำนักเลยไม่ใช่รึ?
เปิ่นจั้วรู้สึกแปลกใจจริง ๆ.”
“เจ้าสำนักจุน.”
เจ้าสำนัก,สำนักพยัคฆ์คำราม,กล่าวออกมาเล็กน้อย,”คนของนิกายเซิ่งชวน,รออยู่ที่ลานยุทธ์แล้ว,หวังว่าอยู่ต่อหน้าพวกเขาคงไม่ขาสั่นหรอกนะ.”
หลังจากงานประชุมที่เมืองชิงหยาง,พันธมิตรร้อยสำนักล้วนแต่เกลียดชังจุนซ่างเซียว.
การมาในครั้งนี้,พวกเขาต่างก็ต้องการเห็นว่านิกายระดับห้าบดขยี้พวกเขาอย่างไร.
คิดถึงใบหน้าที่โอหังที่ตึกจันทร์ดาราแล้ว,กับการที่เห็นนิกายเซิ่งชวนบดขยี้จนเยี่ยวแตก,พวกเขาก็ราวกับจะมีความสุขขึ้นมาทันที.
“สำนักหลิงชวนที่กลายเป็นซากไปแล้ว,ยังมีอะไรที่เปิ่นจั้วหวาดกลัวอยู่อีก.”
จุนซ่างเซียวและศิษย์ที่ก้าวตามกันไป,ทุกคนที่จับจ้องมองราวกับว่าพวกเขากำลังไปตาย,ที่ด้านหน้าห้องโถงที่พังพลายเวลานี้มีที่นั่งสามที่.
บนที่นั่งสามที่.
คนที่อยู่ตรงกลางเป็นชายวันกลางคน,ที่นั่งกอดอกอยู่.
ที่ด้านซ้ายเป็นชายวัยกลางคนเช่นกัน,มือข้างหนึ่งค้ำคาง,ใบหน้าค่อนข้างมืดครึ้ม.
ที่ด้านขวานั้นเป็นชายที่มีหน้าผากกว้าง,ยกข้าข้างหนึ่งทับข้างหนึ่ง,ยกมือข้างหนึ่งขึ้นดึงหูของตัวเอง,ท่าทางไม่ค่อยสนใจอะไรนัก.
แม้นว่าคนทั้งสามจะดูแตกต่างกัน,ทว่าดูแตกต่างจากคนทั่วไปอย่างสิ้นเชิง,พวกเขาที่แผ่กลิ่นอายที่น่าเกรงขามออกมา,เกรงว่าพลังบ่มเพาะคงจะไม่อ่อนด้อยกว่าอาวุโสนิกายเขาซางเซียวอย่างแน่นอน.
จุนซ่างเซียวที่สีจมูกลอบคิดในใจ,”สามคนนี้,หากสวมชุดคลุมทหารเรือสักหน่อย,แม่ง
กลายเป็นพลเอกกองทัพเรือได้เลย.”
ที่มา https://lnmtl.com/novel/strongest-sect-of-all-times
#นิยายแปล #Strongest Sect of All Times #นิกายที่แข็งแกร่งที่สุดนิรันดรกาล.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น