Strongest Sect of All Times Chapter 109 War declaration!
นิกายที่แข็งแกร่งที่สุดนิรันดรกาล
Chapter 109 War declaration!
战书!
ห้องรับรอง.
จุนซ่างเซียวที่เขียนรายการสมุนไพรปรุงเม็ดยาเปิดชีพจรวางไว้บนโต๊ะ,พร้อมกับมือเคาะไปมา,กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม,”สมุนไพรเหล่านี้ไม่รู้ว่าตระกูลอ้ายมีมากขนาดใหน?”
อ้ายซางหนี่ที่กวาดตามอง,ครุ่นคิดกล่าวออกมาเล็กน้อย,”เจ้าสำนักจุน,สมุนไพรทั้งสี่นี้,ตระกูลอ้ายมีไม่มากนัก,คาดว่าน่าจะมีราว
ๆอย่างละสามร้อย.”
“เปิ่นจั้วต้องการทั้งหมด.”จุนซ่างเซียวที่เอ่ยปากออกมาในทันที.
เม็ดยาเปิดชีพจรนั้นจะช่วยยกระดับในการเปิดชีพจรได้
50 เปอร์เซ็น,บวกกับทักษะบ่มเพาะเปลี่ยนเส้นเอ็นช่วยเพิ่มขึ้นอีก 50
เปอร์เซ็น,ไม่ใช่กลายเป็นเรื่องที่ต่อต้านสวรรค์แล้วรึ?
ดังนั้นเขาจึงต้องการกลั่นปรุงออกมาให้เร็วที่สุด.
อ้ายซางหนีที่เผยยิ้ม,”เจ้าสำนักจุน,โปรดรอสักครู่.”
ผู้จัดการหม่าที่เร่งรีบเข้าไปด้านในจัดเตรียมสินค้าเก็บเข้าไปในแหวนมิติหลายวงก่อนนำมาวางไว้บนโต๊ะ.
วัตถุดิบในการปรุงเม็ดยาทะลวงชีพจรนั้นไม่ได้ล้ำค่านัก,ดังนั้นจึงไม่ได้เก็บเอาไว้มากมายนัก.
หลังจากที่จุนซ่างเซียวตรวจสอบสินค้า,และกล่าวออกมาว่า,”ประมุขอ้าย,เชิญเสนอราคา.”
อายซางหนีเอ่ยออกมาว่า,”สมุนแต่ละชนิดนั้นมีราคารวมกันหนึ่งแสนเศษ
ๆ,เจ้าสำนักจุนจ่ายเพียง 100,000 เหรียญก็พอ.”
หากเป็นลูกค้าคนอื่น
ๆ,แน่นอนว่าไม่สามารถลดได้แม้แต่เหรียญเดียว.
ทว่าหลังจากที่ตระกูลอ้ายได้รับเม็ดยาฟื้นฟูมา,เขาสามารถที่จะทำกำไรได้เป็นจำนวนมากยิ่งกว่าการขายส่วนอื่นอีก.
จุนซ่างเซียวเอ่ย,”แลกเปลี่ยน.”
ทั้งสองที่จัดการตามพิธีการเดิม,มีการเซ็นสัญญาซื้อขาย,การแลกเปลี่ยนครั้งนี้ก็สมบูรณ์.
“ใช่อีกเรื่อง.”
จุนซ่างเซียวที่ชี้ไปยังชายชราที่มีหน้าทีดูแลสมุนไพร,กล่าวออกมาด้วยความสงสัย,อาวุโสผู้นี้เป็นใครมาจากใหนอย่างงั้นรึ?”
อ้ายซางหนี่กล่าว,”ผู้เชี่ยวชาญวัตถุดิบยานะรึ?.”
ผู้เชี่ยวชาญวัตถุดิบยา?
จุนซ่างเซียวไม่เคยได้ยิน.
ความรู้ของเจ้าของร่างเดิมที่ตั้งแต่เด็กอาศัยอยุ่ในหมู่บ้ายชิงหยาง,หลังจากเข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้ง,น้อยครั้งมากที่จะออกมาด้านนอก,จึงมีเรื่องราวมากมายที่เขายังไม่เข้าใจ.
อ้ายชางหนี่ที่ทำการอธิบาย,”ผู้เชี่ยวชาญวัตถุดิบยานั้นจะฝึกฝนเรื่องเกี่ยวกับวัตถุดิบยา,มีอาชีพในการปลูกและเก็บเกี่ยวสมุนไพร.”
“เป็นแบบนี้นั่นเอง.”
จุนซ่างเซียวที่เข้าใจและเอ่ยออกมาว่า,”ไม่สงสัยเลยว่าเขาเข้าใจเกี่ยวกับสมุนไพรดี.”
อ้ายซางหนี่ที่ส่ายหน้าไปมากล่าวออกไปว่า,คนผู้นี้มีระดับเพียง
ศิษย์สมุนไพรขั้นที่สามเท่านั้น,ยังมีผู้เชี่ยวชาญวัตถุดิบมากกว่าเขามากมาย.”
ผู้เชี่ยวชาญปลูกสมุนไพรก็มีการแบ่งระดับเหมือนกับวิถียุทธ์อย่างงั้นรึ?
มีระดับศิษย์,อาจารย์,บรรพชน,กษัตริย์ด้วยสินะ.
งั้นผู้เชี่ยวชาญปรุงยาและผู้เชี่ยวชาญศิลาวิญญาณก็คงจะเหมือน
ๆกัน.
ระดับศิษย์สมุนไพรขั้นสาม.
ในทวีปชิงหยุนนับเป็นระดับที่แสนธรรมดามาก ๆ.
ผู้เชี่ยวชาญสมุนไพร,ดูเหมือนว่าเทียบกับอาชีพอื่นแล้ว,จะดูธรรมดามาก,สถานะไม่ได้สูงนัก,แม้แต่อาจถูกเรียกว่าชาวสวนด้วยซ้ำ.
แน่นอน,ถึงจะไม่ได้ถูกยกย่องนัก,แต่การปลูกและดูแลสมุนไพรก็ไม่ใช่เรื่องง่าย,ไม่ว่าจะเป็นการคน
หาสถานที่การขุดพรวนรดน้ำ,เพื่อที่จะผลิตสมุนไพรที่ดีที่สุดตามความต้องการของตลาด,ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญสมุนไพรก็เป็นอาชีพที่ขาดไม่ได้เช่นกัน.
มีหลากหลายกลุ่มอิทธิพลที่เชิญผู้เชี่ยวชาญสมุนไพรเป็นการเฉพาะ,เพื่อสร้างสวนสมุนไพรส่วนตัว,ที่จำเป็นในการหล่อเลี้ยงสำนัก
แม้แต่ฝึกฝนคนของตัวเองขึ้นมาเอง,นับว่าเป็นอาชีพที่ไม่เป็นที่นิยมแต่เป็นที่ต้องการ.
“ผู้เชี่ยวชาญสมุนไพร,ระดับศิษย์สมุนไพรขั้นที่สาม,ประมุขอ้ายไม่ควรดูแคลนตาเฒ่า!”ชายชราผมขาวที่ได้ยินคำพูดของอ้ายซางหนี่,เอ่ยปากปฏิเสธ.
“อั๊ยยะ,ตาแก่บ้า,กล้าพูดเช่นนี้กับประมุข,ไม่อยากมีชีวิตแล้วสินะ!”บ่าวรับใช้คนหนึ่งที่เงื้อมือขึ้น,พร้อมที่จะออกไปลงโทษอีกฝ่าย.
อ้ายซางหนีที่โบกมือกล่าวออกมาว่า,”ถอยไป.
บ่าวรับใช้ที่มองชายชราด้วยตาข้างเดียว,ก่อนที่จะถอยออกไปด้วยความหงุดหงิด.
จุนซ่างเซียวที่ก้าวเข้ามา,พร้อมกับเผยยิ้ม,”อาวุโส,สำนักไท่กู่เจิ้งยังขาดผู้เชี่ยวชาญสมุนไพร,สนใจที่จะเข้าร่วมหรือไม่?”
ชายชราที่โบกมือกล่าวออกมาว่า,”ผู้เชี่ยวชาญสมุนไพรที่แข็งแกร่งกว่าตาเฒ่ามีมากมาย,มีฝีมือเหนือกว่าหลายขั้น,เจ้าสำนักจุนควรจะเลือกพวกเขาดีกว่า.”
“ฮึ.”
บ่าวรับใช้คนดังกล่าวที่แค่นเสียงเย็นชา,กล่าวเสียงเบา,”ได้การรับเชิญจากเจ้าสำนักจุนถือเป็นวาสนาแล้ว,คาดไม่ถึงจะปฏิเสธ,สมกับเป็นตาแก่บ้าจริง
ๆ.”
อ้ายซางหนี่ที่เผยยิ้ม,”เจ้าสำนักจุน,ตระกูลอ้ายนั้นมีผู้เชี่ยวชาญสมุนไพรมากมาย,อย่างต่ำก็มีระดับเจ็ดและแปด,หากสำนักของท่านขาด,อ้ายโหมวสามารถ....”
จุนซ่างเซียวที่ยกมืขึ้นขวางกล่าวออกมาว่า,”เปิ่นจั้วต้องการอาวุโสผู้นี้.”
ที่มุมปากของอ้ายซางหนี่กระตุก,กล่าวออกมาว่า,”เจ้าสำนักจุน,เหล่าเหว่ยนั้นเป็นแรงงานชั่วคราวเท่านั้น,จะไปหรือไม่นั้น,ขึ้นอยู่กับเขาเอง.”
“เช่นนั้น.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย,”อาวุโส,เปิ่นจั้วยินดีที่จะจ่ายในราคาที่สูง,ไม่รู้ว่ายินดีที่จะไปยังสำนักไท่กู่เจิ้ง,เป็นผู้เชี่ยวชาญสมุนไพรให้กับสำนักของข้าได้หรือไม่?”
อ้ายซางหนีที่เผยท่าทางสงสัยเล็กน้อย.
ระดับศิษย์สมุนไพรขั้นสามไม่ต้องเอ่ยเลยว่าสามารถหาได้ทุกที,แม้แต่ตระกูลอ้ายยังสามารถหาได้มากกว่าสิบคน,แล้วทำไมเจ้าสำนักไท่กู่เจิ้งจึงสนใจชายชราผู้นี้ขนาดนี้กัน?
เหล่าเหว่ยเอ่ย,”เจ้าสำนักจุน,ต้องการที่จะเชิญตาเฒ่าไปเป็นผู้เชี่ยวชาญสมุนไพรของสำนักจริง
ๆ รึ?”
“ไม่ผิด.”จุนซ่างเซียวเอ่ย.
เหล่าเหว่ยที่วางกรรไกร,กล่าวออกมาว่า,”ตาแก่นั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญสมุนไพร,ตอนนี้ก็อายุ
60 แล้ว,เจ้าสำนักจุนยังต้องการเชิญข้าอีกรึ?.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย,”โลกนี้มีโป๋เล่อจึงมีม้าพันลี้”
“โป๋เล่อ.”
*****
หันอวี้ (韩愈 บัณฑิตยุคราชวงศ์ถัง)
กล่าวถึงโป๋เล่อในหนังสือ《马说》(วิพากษ์ม้า) ไว้ว่า
“โลกนี้มีโป๋เล่อจึงมีม้าพันลี้ ม้าพันลี้มีอยู่ทั่วแต่ไม่มีโป๋เล่อ
แม้เป็นม้าดีแต่อยู่ในมือของคนธรรมดา จึงได้แต่เกิดและตายในคอกม้า
ไม่ได้ชื่อฉายาว่าม้าพันลี้
ม้าพันลี้กินอาหารวันละหนึ่งต้าน(石 ประมาณ 60 ก.ก.)ผู้เลี้ยงไม่รู้จักม้า
ย่อมไม่ทราบ แม้เป็นม้าพันลี้ หากกินไม่อิ่มดูแลไม่ดีย่อมไม่มีแรง
ไม่สามารถแสดงศักยภาพที่แท้จริงออกมา ทั้งยังแย่กว่าม้าธรรมดา”
เหล่าเหว่ยเผยยิ้ม,กล่าวออกมาว่า,”เจ้าสำนักจุน,หากข้าตอบตกลง,ตาเฒ่าต้องเดินทางไปยังสำนักไท่กู่เจิ้ง,แล้วจะได้รับค่าจ้างมากเท่าไหร่?”
“หนึ่งหมื่นเหรียญต่อเดือน.”จุนซ่างเซียวเอ่ย.
อ้ายซางหนี่ถึงกับตะลึงงัน.
ผู้เชี่ยวชาญปลูกสมุนไพรระดับศิษย์สมุนไพรขั้นแปดของตระกูลเขาจ้างด้วยราคา
10,000 เหรียญ,ส่วนระดับศิษย์สมุนไพรขั้นสามนั้น,เพียงเดือนล่ะ 1200
ก็ถือว่าสูงมากแล้ว.
เหล่าเหว่ยเอ่ย,”เจ้าสำนักจุนเป็นที่น่านับถือยิ่งนัก,ตาเฒ่าต้องการกลับบ้านเพื่อเพื่อแจ้งให้คนในบ้านทราบ,จากนั้นก็จะเดินทางไปยังสำนักไท่กู่เจิ้ง.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย,”ประมุขอ้าย,คนผู้นี้เปิ่นจั้วนำไป,คงไม่มีปัญหาใช่หรือไม่?”
“ไม่มีปัญหา,ไม่มีปัญหา.”
......
เมืองทางใต้,ในตรอกซอกซอยที่ลึกลับ.
จุนซ่างเซียวที่ตามเหล่าเหว่ยมายังบ้านของเขา.
บ้านหลังนี้เก่าแก่โทรมแทบจะพังลงมา,สภาพแวดล้อมยังมืดครึ้มมืดมิดเป็นอย่างมาก.
ขณะก้าวเข้ามา,มีกลุ่มเด็ก ๆ 8-9
ขวบเข้ามารอบกรอบ,ร้องเรียกท่านปู่,ใบหน้าที่เผยยิ้มอย่างบริสุทธิ์ออกมา.
จุนซ่างเซียวเอ่ย,”เหล่าเหว่ยมีลูกหลานเต็มบ้าน,นับว่ามีโชควาสนา.”
เหล่าเหว่ยที่นำลูกกวาดที่ซื้อมา,ส่งมอบให้กับเด็กทุกคน,”เด็กเหล่านี้คือเด็กกำพร้าที่ตาเฒ่าอุปการะอยู่.”
จุนซ่างเซียวที่ตะลึงงัน.
ในโลกที่โหดร้ายเช่นนี้,ยังมีคนที่รับอุปการะเด็กกำพร้า,เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเป็นอย่างมาก.
เจ้าสำนักจุนเข้าใจเรื่องนี้ดี,กับในโลกที่เต็มไปด้วยการต่อสู้,ผู้คนที่ฟาดฟันห้ำหั่นกัน,การกระทำเช่นนี้มีแต่จะกลายเป็นที่หัวเราะของผู้คน.
“เจ้าสำนักจุน.”
เหล่าเหว่ยเอ่ย,”จะจ่ายค่าแรงล่วงหน้าได้หรือไม่?”
“ตกลง.”
จุนซ่างเซียวที่ส่งมอบเงิน
หนึ่งพันเหรียญออกมาในทันที.
หลังจากที่เหล่าเหว่ยรับมา,ก็ทำการแบ่งให้กับเด็กที่โตที่สุด
300 เหรียญ,จากนั้นก็ทำการสั่งสอน,ตักเตือนเขา,และเก็บกระเป๋าและจากมา.
ระหว่างทาง,จุนซ่างเซียวเอ่ยออกมาว่า,”เหล่าเหว่ยที่จริงเจ้าสามารถนำพวกเขาไปยังสำนักไท่กู่เจิ้งด้วยได้.”
เหล่าเหว่ยที่ส่ายหน้าไปมา,”โลกใบนี้ช่างโหดร้ายนัก,พวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะอยู่รอดด้วยตัวเอง,ตาเฒ่าช่วยได้แค่ชั่วขณะเท่านั้น,ไม่สามารถช่วยได้ตลอด.”
“ดังนั้น.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย,”จึงมอบเงินให้พวกเขาไม่กี่ร้อยเหรียญ,เพื่อไม่ต้องการให้พวกเขาพึ่งพาท่านมากเกินไปอย่างงั้นรึ?”
“ไม่ผิด.”เหล่าเหว่ยเอ่ย.
อาวุโสผู้นี้,ดูเหมือนว่าจะมีประสบการณ์ที่ไม่ธรรมดา.
“ติ๊ง!
ภารกิจสนับสนุนสำเร็จ,โฮสน์ได้รับ 50 แต้ม.”
“ติ๊ง! คะแนนสนับสนุน:
313 / 500.”
ระหว่างที่จุนซ่างเซียวและอ้ายซางหนีทำการซื้อขายกันอยู่นั้น,ระบบก็ทำการออกภารกิจสนับสนุน,รายระเอียดคือการเชิญเหล่าเหว่ยมาเป็นผู้เชี่ยวชาญสมุนไพรของสำนักไท่กู่เจิ้งนั่นเอง.
ไม่มีอะไรน่าแปลกใจที่จุนซ่างเซียวมอบเงินเดือนหนึ่งหมื่นเหรียญเพื่อเชิญเขา.
ที่จริงถึงไม่มีภารกิจสนับสนุน,จุนซ่างเซียวก็สนใจที่จะรับเหล่าเหว่ยเช่นกัน,เพราะว่าจากการพูดคุย,ก็รู้สึกถึงความไม่ธรรมดาของเขาได้.
ดี.
คนของสำนักไท่กู่เจิ้ง,ล้วนแต่มีประวัติความเป็นมา,ไว้มีความสนิทเพียงพอ,ค่อยนักพูดคุยฟังเรื่องราวก็แล้วกัน.
“เจ้าสำนักจุน.”
เหล่าเหว่ยเอ่ย,”ในเมื่อจ้างตาเฒ่าแล้ว,ให้เป็นผู้เชี่ยวชาญสมุนไพรสำนัก,แล้วสำนักมีเม็ดสมุนไพรแล้วใช่ใหม?”
“ต้องซื้อ.”จุนซ่างเซียวเอ่ย.
จากนั้นทั้งสองที่มุ่งหน้าไปยังตลาดสมุนไพร,เพื่อซื้อเม็ดสมุนไพรมากมาย,ก่อนกลับสำนักไท่กู่เจิ้ง.
ขณะกลับถึงสำนัก,หลี่ชิงหยางที่มอบสิ่งหนึ่งมา,”เจ้าสำนัก,เมื่อสองชั่วยาม,มีคนส่งจดหมายมา.”
“โอ้ว?”
จุนซ่างเซียวที่รับจดหมายมา,พร้อมกับฉีกอาย,บนจดหมายมีอักษรไม่กี่ตัว,เป็นการเชิญสำนักไท่กู่เจิ้ง,ไปยังซากปรักหักพังของสำนักหลิงชวน,และลงชื่อว่า,ศิษย์ฝ่ายในนิกายเซิ่งชวน,โม่ซางเฟย.
หลี่ชิงหยางที่กล่าวออกมาอย่างจริงจัง,”เจ้าสำนัก,นี่เป็นจดหมายประกาศสงคราม!”
จุนซ่างเซียวที่บดขยี้จดหมาย,กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม,”ท้ายที่สุดนิกายเซิ่งชวนก็ไม่สามารถทนอยู่ได้,ทว่าการส่งศิษย์ฝ่ายในมา,ดูเหมือนว่าจะประเมินข้าจุนซ่างเซียวต่ำไปขนาดนี้เลยรึ?”
**********
โป๋เล่อดูม้า 伯乐相马
ตำนานจีนเล่าว่า โป๋เล่อ(伯乐)เป็นเทพบนสวรรค์ที่จัดการดูแลเรื่องม้า
ผู้คนจึงนำชื่อโป๋เล่อมาใช้เรียกผู้ที่มีความสามารถในการดูลักษณะม้าว่าเป็นม้าดีหรือม้าเลว
และนำไปเปรียบเปรยว่าสามารถดูลักษณะคนเก่ง คนดี คนมีความสามารถ
伯乐相马 (bó lè xiàng mǎ โป๋เล่อดูม้า)
จึงเป็นคำสุภาษิตจีน ที่มีความหมายว่า รู้จักและสามารถ
ค้นหาสืบเสาะพิเคราะห์แยกแยะ คนเก่ง คนดี คนมีความสามารถ
เรื่องราวของคนที่ได้ชื่อว่าโป๋เล่อ คนแรกมีชื่อเดิมว่าซุนหยาง(孙阳)เป็นบุคคลในยุคชุนชิว(春秋) เนื่องจากเขามีความเชี่ยวชาญเรื่องม้าเป็นอันมาก
ผู้คนจึงเรียกเขาว่าโป๋เล่อจนแทบไม่มีใครรู้ชื่อเดิมของเขา
มีวันหนึ่งเจ้ารัฐฉู่(楚王)ต้องการม้าที่วิ่งได้วันละพันลี้ ขอให้โป๋เล่อช่วยเสาะหา
โป๋เล่อกล่าวว่า “ม้าพันลี้มีน้อย หายาก ต้องไปตระเวนหาตามดินแดนต่างๆ
แต่ท่านอย่าได้กังกล ข้าจะพยายามสุดความสามารถ หาม้าพันลี้มาให้ท่าน”
โป๋เล่อเดินทางไปยังดินแดนต่างๆ แม้กระทั่งรัฐเอียน(燕国)รัฐจ้าว(赵国)ที่มีแหล่งเพาะเลี้ยงม้าก็ตระเวนดูจนทั่ว
แต่ยังไม่พบม้าพันลี้ วันหนึ่งโป๋เล่อเดินทางจากรัฐฉี(齐国)เพื่อกลับรัฐฉู่(楚国) เห็นม้าตัวหนึ่งกำลังลากรถบรรทุกเกลือขึ้นเนินด้วยความยากลำบาก
ม้าหอบหายใจก้าวขาอย่างเหนื่อยยาก โป๋เล่อเดินเข้าไปดู
ม้าเห็นโป๋เล่อเข้ามาใกล้ก็เงยหน้าถลึงตามอง ส่งเสียงร้อง
เหมือนจะบอกกล่าวอะไรบางอย่างกับเขา
เมื่อโป๋เล่อได้ยินเสียงร้องของม้าก็ทราบในทันทีว่านี่คือม้าดีที่ยากพบพาน
จึงกล่าวกับคนขับรถเกลือว่า
“ม้าตัวนี้หากควบขี่บนทุ่งหญ้าไม่มีม้าตัวใดเทียบฝีเท้าได้
แต่เมื่อนำมาลากรถกลับทำได้แย่กว่าม้าธรรมดา ท่านขายม้าตัวนี้ให้ข้าได้หรือไม่?”
คนขับรถเห็นโป๋เล่อคิดอย่างนั้นก็นึกว่าเป็นคนสติไม่ดี
ม้าตัวนี้ไม่มีแรงลากรถ กินจุกว่าม้าตัวอื่น แต่ก็ยังผอมกะหร่องก่องดั่งฟืนแห้ง
เขาจึงขายม้าให้กับโป๋เล่อทันที
โป๋เล่อนำม้ากลับรัฐฉู่ เมื่อถึงวังหลวง โป๋เล่อกล่าวกับม้าว่า
“ข้าจะพาเจ้าไปพบกับเจ้านายใหม่” ม้าเหมือนเข้าใจคำพูด
ส่งเสียงร้องก้องกังวานดังไปทั่ว เจ้ารัฐฉู่ได้ยินเสียงม้าจึงออกมาดู
โป๋เล่อกล่าวว่า “ข้าพเจ้านำม้าพันลี้มาถวาย ขอท่านทรงพิจารณา”
เจ้ารัฐฉู่เห็นม้าที่โป๋เล่อจูงมาผอมกะหร่องอย่างกับม้าขี้โรค
เข้าใจผิดคิดว่าโป๋เล่อล้อเล่น จึงกล่าวอย่างไม่พอใจว่า
“ข้าเชื่อมั่นในความสามารถดูม้าของท่าน จึงวางใจให้ท่านจัดหาม้า
แต่ท่านนำม้าอะไรกลับมา แค่ก้าวเดินยังยากลำบาก แล้วจะสามารถควบขี่ในสนามรบได้หรือ?”
โป๋เล่อตอบว่า “ม้าตัวนี้คือม้าพันลี้จริง
เพียงแต่ก่อนหน้านี้ทำงานลากรถ ทั้งไม่ได้รับอาหารอย่างเพียงพอจึงซูบผอม
ขอเพียงให้อาหารดูแลอย่างดี ไม่ถึงครึ่งเดือนม้าก็จะฟื้นฟูร่างกาย”
เจ้ารัฐฉู่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่ก็ทำตาม
สั่งให้คนเลี้ยงม้าดูแลอย่างดี จากม้าซูบผอมกลายเป็นม้าสง่าสมบูรณ์แข็งแรง
เมื่อขึ้นควบขี่ เพียงเร่งแส้ก็ได้ยินเสียงลมผ่านหูทั้งสองข้าง ใช้เวลาไม่นานก็ควบขับได้นับร้อยลี้
เจ้ารัฐฉู่ขี่ม้าตัวนี้รบทัพจับศึก สร้างผลงานได้ชัยหลายครา
เจ้ารัฐฉู่จึงยิ่งเครารพนับถือความสามารถในการดูม้าของโป๋เล่อ
หันอวี้ (韩愈 บัณฑิตยุคราชวงศ์ถัง) กล่าวถึงโป๋เล่อในหนังสือ《马说》(วิพากษ์ม้า) ไว้ว่า
“โลกนี้มีโป๋เล่อจึงมีม้าพันลี้
ม้าพันลี้มีอยู่ทั่วแต่ไม่มีโป๋เล่อ แม้เป็นม้าดีแต่อยู่ในมือของคนธรรมดา
จึงได้แต่เกิดและตายในคอกม้า ไม่ได้ชื่อฉายาว่าม้าพันลี้
ม้าพันลี้กินอาหารวันละหนึ่งต้าน(石 ประมาณ 60 ก.ก.)ผู้เลี้ยงไม่รู้จักม้า ย่อมไม่ทราบ แม้เป็นม้าพันลี้
หากกินไม่อิ่มดูแลไม่ดีย่อมไม่มีแรง ไม่สามารถแสดงศักยภาพที่แท้จริงออกมา
ทั้งยังแย่กว่าม้าธรรมดา”
“ใต้หล้าไร้ม้าพันลี้
ไม่มีม้าจริงหรือ?หรือว่าไม่มีคนรู้จักม้า?”
ที่มา https://baike.baidu.com/item/%E4%BC%AF%E4%B9%90%E7%9B%B8%E9%A9%AC/787772?fr=aladdin
ที่มา https://lnmtl.com/novel/strongest-sect-of-all-times
#นิยายแปล #Strongest Sect of All Times #นิกายที่แข็งแกร่งที่สุดนิรันดรกาล.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น