วันจันทร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2564

Strongest Sect of All Times Chapter 109 War declaration!

Strongest Sect of All Times  Chapter 109 War declaration!

 นิกายที่แข็งแกร่งที่สุดนิรันดรกาล

Chapter 109 War declaration!

战书!

 

ห้องรับรอง.

จุนซ่างเซียวที่เขียนรายการสมุนไพรปรุงเม็ดยาเปิดชีพจรวางไว้บนโต๊ะ,พร้อมกับมือเคาะไปมา,กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม,”สมุนไพรเหล่านี้ไม่รู้ว่าตระกูลอ้ายมีมากขนาดใหน?”

อ้ายซางหนี่ที่กวาดตามอง,ครุ่นคิดกล่าวออกมาเล็กน้อย,”เจ้าสำนักจุน,สมุนไพรทั้งสี่นี้,ตระกูลอ้ายมีไม่มากนัก,คาดว่าน่าจะมีราว ๆอย่างละสามร้อย.”


“เปิ่นจั้วต้องการทั้งหมด.”จุนซ่างเซียวที่เอ่ยปากออกมาในทันที.

เม็ดยาเปิดชีพจรนั้นจะช่วยยกระดับในการเปิดชีพจรได้ 50 เปอร์เซ็น,บวกกับทักษะบ่มเพาะเปลี่ยนเส้นเอ็นช่วยเพิ่มขึ้นอีก 50 เปอร์เซ็น,ไม่ใช่กลายเป็นเรื่องที่ต่อต้านสวรรค์แล้วรึ? ดังนั้นเขาจึงต้องการกลั่นปรุงออกมาให้เร็วที่สุด.

อ้ายซางหนีที่เผยยิ้ม,”เจ้าสำนักจุน,โปรดรอสักครู่.”

ผู้จัดการหม่าที่เร่งรีบเข้าไปด้านในจัดเตรียมสินค้าเก็บเข้าไปในแหวนมิติหลายวงก่อนนำมาวางไว้บนโต๊ะ.

วัตถุดิบในการปรุงเม็ดยาทะลวงชีพจรนั้นไม่ได้ล้ำค่านัก,ดังนั้นจึงไม่ได้เก็บเอาไว้มากมายนัก.

หลังจากที่จุนซ่างเซียวตรวจสอบสินค้า,และกล่าวออกมาว่า,”ประมุขอ้าย,เชิญเสนอราคา.”

อายซางหนีเอ่ยออกมาว่า,”สมุนแต่ละชนิดนั้นมีราคารวมกันหนึ่งแสนเศษ ๆ,เจ้าสำนักจุนจ่ายเพียง 100,000 เหรียญก็พอ.”

หากเป็นลูกค้าคนอื่น ๆ,แน่นอนว่าไม่สามารถลดได้แม้แต่เหรียญเดียว.

ทว่าหลังจากที่ตระกูลอ้ายได้รับเม็ดยาฟื้นฟูมา,เขาสามารถที่จะทำกำไรได้เป็นจำนวนมากยิ่งกว่าการขายส่วนอื่นอีก.

จุนซ่างเซียวเอ่ย,”แลกเปลี่ยน.”

ทั้งสองที่จัดการตามพิธีการเดิม,มีการเซ็นสัญญาซื้อขาย,การแลกเปลี่ยนครั้งนี้ก็สมบูรณ์.

“ใช่อีกเรื่อง.”

จุนซ่างเซียวที่ชี้ไปยังชายชราที่มีหน้าทีดูแลสมุนไพร,กล่าวออกมาด้วยความสงสัย,อาวุโสผู้นี้เป็นใครมาจากใหนอย่างงั้นรึ?”

อ้ายซางหนี่กล่าว,”ผู้เชี่ยวชาญวัตถุดิบยานะรึ?.”

ผู้เชี่ยวชาญวัตถุดิบยา?

จุนซ่างเซียวไม่เคยได้ยิน.

ความรู้ของเจ้าของร่างเดิมที่ตั้งแต่เด็กอาศัยอยุ่ในหมู่บ้ายชิงหยาง,หลังจากเข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้ง,น้อยครั้งมากที่จะออกมาด้านนอก,จึงมีเรื่องราวมากมายที่เขายังไม่เข้าใจ.

อ้ายชางหนี่ที่ทำการอธิบาย,”ผู้เชี่ยวชาญวัตถุดิบยานั้นจะฝึกฝนเรื่องเกี่ยวกับวัตถุดิบยา,มีอาชีพในการปลูกและเก็บเกี่ยวสมุนไพร.”

“เป็นแบบนี้นั่นเอง.”

จุนซ่างเซียวที่เข้าใจและเอ่ยออกมาว่า,”ไม่สงสัยเลยว่าเขาเข้าใจเกี่ยวกับสมุนไพรดี.”

อ้ายซางหนี่ที่ส่ายหน้าไปมากล่าวออกไปว่า,คนผู้นี้มีระดับเพียง ศิษย์สมุนไพรขั้นที่สามเท่านั้น,ยังมีผู้เชี่ยวชาญวัตถุดิบมากกว่าเขามากมาย.”

ผู้เชี่ยวชาญปลูกสมุนไพรก็มีการแบ่งระดับเหมือนกับวิถียุทธ์อย่างงั้นรึ? มีระดับศิษย์,อาจารย์,บรรพชน,กษัตริย์ด้วยสินะ.

 

งั้นผู้เชี่ยวชาญปรุงยาและผู้เชี่ยวชาญศิลาวิญญาณก็คงจะเหมือน ๆกัน.

ระดับศิษย์สมุนไพรขั้นสาม.

ในทวีปชิงหยุนนับเป็นระดับที่แสนธรรมดามาก ๆ.

ผู้เชี่ยวชาญสมุนไพร,ดูเหมือนว่าเทียบกับอาชีพอื่นแล้ว,จะดูธรรมดามาก,สถานะไม่ได้สูงนัก,แม้แต่อาจถูกเรียกว่าชาวสวนด้วยซ้ำ.

แน่นอน,ถึงจะไม่ได้ถูกยกย่องนัก,แต่การปลูกและดูแลสมุนไพรก็ไม่ใช่เรื่องง่าย,ไม่ว่าจะเป็นการคน หาสถานที่การขุดพรวนรดน้ำ,เพื่อที่จะผลิตสมุนไพรที่ดีที่สุดตามความต้องการของตลาด,ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญสมุนไพรก็เป็นอาชีพที่ขาดไม่ได้เช่นกัน.

มีหลากหลายกลุ่มอิทธิพลที่เชิญผู้เชี่ยวชาญสมุนไพรเป็นการเฉพาะ,เพื่อสร้างสวนสมุนไพรส่วนตัว,ที่จำเป็นในการหล่อเลี้ยงสำนัก แม้แต่ฝึกฝนคนของตัวเองขึ้นมาเอง,นับว่าเป็นอาชีพที่ไม่เป็นที่นิยมแต่เป็นที่ต้องการ.

“ผู้เชี่ยวชาญสมุนไพร,ระดับศิษย์สมุนไพรขั้นที่สาม,ประมุขอ้ายไม่ควรดูแคลนตาเฒ่า!”ชายชราผมขาวที่ได้ยินคำพูดของอ้ายซางหนี่,เอ่ยปากปฏิเสธ.

“อั๊ยยะ,ตาแก่บ้า,กล้าพูดเช่นนี้กับประมุข,ไม่อยากมีชีวิตแล้วสินะ!”บ่าวรับใช้คนหนึ่งที่เงื้อมือขึ้น,พร้อมที่จะออกไปลงโทษอีกฝ่าย.

อ้ายซางหนีที่โบกมือกล่าวออกมาว่า,”ถอยไป.

บ่าวรับใช้ที่มองชายชราด้วยตาข้างเดียว,ก่อนที่จะถอยออกไปด้วยความหงุดหงิด.

จุนซ่างเซียวที่ก้าวเข้ามา,พร้อมกับเผยยิ้ม,”อาวุโส,สำนักไท่กู่เจิ้งยังขาดผู้เชี่ยวชาญสมุนไพร,สนใจที่จะเข้าร่วมหรือไม่?”

ชายชราที่โบกมือกล่าวออกมาว่า,”ผู้เชี่ยวชาญสมุนไพรที่แข็งแกร่งกว่าตาเฒ่ามีมากมาย,มีฝีมือเหนือกว่าหลายขั้น,เจ้าสำนักจุนควรจะเลือกพวกเขาดีกว่า.”

“ฮึ.”

บ่าวรับใช้คนดังกล่าวที่แค่นเสียงเย็นชา,กล่าวเสียงเบา,”ได้การรับเชิญจากเจ้าสำนักจุนถือเป็นวาสนาแล้ว,คาดไม่ถึงจะปฏิเสธ,สมกับเป็นตาแก่บ้าจริง ๆ.”

อ้ายซางหนี่ที่เผยยิ้ม,”เจ้าสำนักจุน,ตระกูลอ้ายนั้นมีผู้เชี่ยวชาญสมุนไพรมากมาย,อย่างต่ำก็มีระดับเจ็ดและแปด,หากสำนักของท่านขาด,อ้ายโหมวสามารถ....”

จุนซ่างเซียวที่ยกมืขึ้นขวางกล่าวออกมาว่า,”เปิ่นจั้วต้องการอาวุโสผู้นี้.”

ที่มุมปากของอ้ายซางหนี่กระตุก,กล่าวออกมาว่า,”เจ้าสำนักจุน,เหล่าเหว่ยนั้นเป็นแรงงานชั่วคราวเท่านั้น,จะไปหรือไม่นั้น,ขึ้นอยู่กับเขาเอง.”

“เช่นนั้น.”

จุนซ่างเซียวเอ่ย,”อาวุโส,เปิ่นจั้วยินดีที่จะจ่ายในราคาที่สูง,ไม่รู้ว่ายินดีที่จะไปยังสำนักไท่กู่เจิ้ง,เป็นผู้เชี่ยวชาญสมุนไพรให้กับสำนักของข้าได้หรือไม่?”

อ้ายซางหนีที่เผยท่าทางสงสัยเล็กน้อย.

ระดับศิษย์สมุนไพรขั้นสามไม่ต้องเอ่ยเลยว่าสามารถหาได้ทุกที,แม้แต่ตระกูลอ้ายยังสามารถหาได้มากกว่าสิบคน,แล้วทำไมเจ้าสำนักไท่กู่เจิ้งจึงสนใจชายชราผู้นี้ขนาดนี้กัน?

เหล่าเหว่ยเอ่ย,”เจ้าสำนักจุน,ต้องการที่จะเชิญตาเฒ่าไปเป็นผู้เชี่ยวชาญสมุนไพรของสำนักจริง ๆ รึ?”

“ไม่ผิด.”จุนซ่างเซียวเอ่ย.

เหล่าเหว่ยที่วางกรรไกร,กล่าวออกมาว่า,”ตาแก่นั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญสมุนไพร,ตอนนี้ก็อายุ 60 แล้ว,เจ้าสำนักจุนยังต้องการเชิญข้าอีกรึ?.”

จุนซ่างเซียวเอ่ย,”โลกนี้มีโป๋เล่อจึงมีม้าพันลี้”

“โป๋เล่อ.”


*****

หันอวี้ (韩愈 บัณฑิตยุคราชวงศ์ถัง) กล่าวถึงโป๋เล่อในหนังสือ马说》(วิพากษ์ม้า) ไว้ว่า

โลกนี้มีโป๋เล่อจึงมีม้าพันลี้ ม้าพันลี้มีอยู่ทั่วแต่ไม่มีโป๋เล่อ แม้เป็นม้าดีแต่อยู่ในมือของคนธรรมดา จึงได้แต่เกิดและตายในคอกม้า ไม่ได้ชื่อฉายาว่าม้าพันลี้

ม้าพันลี้กินอาหารวันละหนึ่งต้าน( ประมาณ 60 ก.ก.)ผู้เลี้ยงไม่รู้จักม้า ย่อมไม่ทราบ แม้เป็นม้าพันลี้ หากกินไม่อิ่มดูแลไม่ดีย่อมไม่มีแรง ไม่สามารถแสดงศักยภาพที่แท้จริงออกมา ทั้งยังแย่กว่าม้าธรรมดา”

 

เหล่าเหว่ยเผยยิ้ม,กล่าวออกมาว่า,”เจ้าสำนักจุน,หากข้าตอบตกลง,ตาเฒ่าต้องเดินทางไปยังสำนักไท่กู่เจิ้ง,แล้วจะได้รับค่าจ้างมากเท่าไหร่?”

“หนึ่งหมื่นเหรียญต่อเดือน.”จุนซ่างเซียวเอ่ย.

อ้ายซางหนี่ถึงกับตะลึงงัน.

ผู้เชี่ยวชาญปลูกสมุนไพรระดับศิษย์สมุนไพรขั้นแปดของตระกูลเขาจ้างด้วยราคา 10,000 เหรียญ,ส่วนระดับศิษย์สมุนไพรขั้นสามนั้น,เพียงเดือนล่ะ 1200 ก็ถือว่าสูงมากแล้ว.

เหล่าเหว่ยเอ่ย,”เจ้าสำนักจุนเป็นที่น่านับถือยิ่งนัก,ตาเฒ่าต้องการกลับบ้านเพื่อเพื่อแจ้งให้คนในบ้านทราบ,จากนั้นก็จะเดินทางไปยังสำนักไท่กู่เจิ้ง.”

จุนซ่างเซียวเอ่ย,”ประมุขอ้าย,คนผู้นี้เปิ่นจั้วนำไป,คงไม่มีปัญหาใช่หรือไม่?”

“ไม่มีปัญหา,ไม่มีปัญหา.”

......

เมืองทางใต้,ในตรอกซอกซอยที่ลึกลับ.

จุนซ่างเซียวที่ตามเหล่าเหว่ยมายังบ้านของเขา.

บ้านหลังนี้เก่าแก่โทรมแทบจะพังลงมา,สภาพแวดล้อมยังมืดครึ้มมืดมิดเป็นอย่างมาก.

ขณะก้าวเข้ามา,มีกลุ่มเด็ก ๆ 8-9 ขวบเข้ามารอบกรอบ,ร้องเรียกท่านปู่,ใบหน้าที่เผยยิ้มอย่างบริสุทธิ์ออกมา.

จุนซ่างเซียวเอ่ย,”เหล่าเหว่ยมีลูกหลานเต็มบ้าน,นับว่ามีโชควาสนา.”

เหล่าเหว่ยที่นำลูกกวาดที่ซื้อมา,ส่งมอบให้กับเด็กทุกคน,”เด็กเหล่านี้คือเด็กกำพร้าที่ตาเฒ่าอุปการะอยู่.”

จุนซ่างเซียวที่ตะลึงงัน.

ในโลกที่โหดร้ายเช่นนี้,ยังมีคนที่รับอุปการะเด็กกำพร้า,เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเป็นอย่างมาก.

เจ้าสำนักจุนเข้าใจเรื่องนี้ดี,กับในโลกที่เต็มไปด้วยการต่อสู้,ผู้คนที่ฟาดฟันห้ำหั่นกัน,การกระทำเช่นนี้มีแต่จะกลายเป็นที่หัวเราะของผู้คน.

“เจ้าสำนักจุน.”

เหล่าเหว่ยเอ่ย,”จะจ่ายค่าแรงล่วงหน้าได้หรือไม่?”

“ตกลง.”

จุนซ่างเซียวที่ส่งมอบเงิน หนึ่งพันเหรียญออกมาในทันที.

หลังจากที่เหล่าเหว่ยรับมา,ก็ทำการแบ่งให้กับเด็กที่โตที่สุด 300 เหรียญ,จากนั้นก็ทำการสั่งสอน,ตักเตือนเขา,และเก็บกระเป๋าและจากมา.

ระหว่างทาง,จุนซ่างเซียวเอ่ยออกมาว่า,”เหล่าเหว่ยที่จริงเจ้าสามารถนำพวกเขาไปยังสำนักไท่กู่เจิ้งด้วยได้.”

เหล่าเหว่ยที่ส่ายหน้าไปมา,”โลกใบนี้ช่างโหดร้ายนัก,พวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะอยู่รอดด้วยตัวเอง,ตาเฒ่าช่วยได้แค่ชั่วขณะเท่านั้น,ไม่สามารถช่วยได้ตลอด.”

“ดังนั้น.”

จุนซ่างเซียวเอ่ย,”จึงมอบเงินให้พวกเขาไม่กี่ร้อยเหรียญ,เพื่อไม่ต้องการให้พวกเขาพึ่งพาท่านมากเกินไปอย่างงั้นรึ?”

“ไม่ผิด.”เหล่าเหว่ยเอ่ย.

อาวุโสผู้นี้,ดูเหมือนว่าจะมีประสบการณ์ที่ไม่ธรรมดา.

“ติ๊ง! ภารกิจสนับสนุนสำเร็จ,โฮสน์ได้รับ 50 แต้ม.”

“ติ๊ง! คะแนนสนับสนุน: 313 / 500.”

ระหว่างที่จุนซ่างเซียวและอ้ายซางหนีทำการซื้อขายกันอยู่นั้น,ระบบก็ทำการออกภารกิจสนับสนุน,รายระเอียดคือการเชิญเหล่าเหว่ยมาเป็นผู้เชี่ยวชาญสมุนไพรของสำนักไท่กู่เจิ้งนั่นเอง.

ไม่มีอะไรน่าแปลกใจที่จุนซ่างเซียวมอบเงินเดือนหนึ่งหมื่นเหรียญเพื่อเชิญเขา.

ที่จริงถึงไม่มีภารกิจสนับสนุน,จุนซ่างเซียวก็สนใจที่จะรับเหล่าเหว่ยเช่นกัน,เพราะว่าจากการพูดคุย,ก็รู้สึกถึงความไม่ธรรมดาของเขาได้.

ดี.

คนของสำนักไท่กู่เจิ้ง,ล้วนแต่มีประวัติความเป็นมา,ไว้มีความสนิทเพียงพอ,ค่อยนักพูดคุยฟังเรื่องราวก็แล้วกัน.

“เจ้าสำนักจุน.”

เหล่าเหว่ยเอ่ย,”ในเมื่อจ้างตาเฒ่าแล้ว,ให้เป็นผู้เชี่ยวชาญสมุนไพรสำนัก,แล้วสำนักมีเม็ดสมุนไพรแล้วใช่ใหม?”

“ต้องซื้อ.”จุนซ่างเซียวเอ่ย.

จากนั้นทั้งสองที่มุ่งหน้าไปยังตลาดสมุนไพร,เพื่อซื้อเม็ดสมุนไพรมากมาย,ก่อนกลับสำนักไท่กู่เจิ้ง.

ขณะกลับถึงสำนัก,หลี่ชิงหยางที่มอบสิ่งหนึ่งมา,”เจ้าสำนัก,เมื่อสองชั่วยาม,มีคนส่งจดหมายมา.”

“โอ้ว?”

จุนซ่างเซียวที่รับจดหมายมา,พร้อมกับฉีกอาย,บนจดหมายมีอักษรไม่กี่ตัว,เป็นการเชิญสำนักไท่กู่เจิ้ง,ไปยังซากปรักหักพังของสำนักหลิงชวน,และลงชื่อว่า,ศิษย์ฝ่ายในนิกายเซิ่งชวน,โม่ซางเฟย.

หลี่ชิงหยางที่กล่าวออกมาอย่างจริงจัง,”เจ้าสำนัก,นี่เป็นจดหมายประกาศสงคราม!

จุนซ่างเซียวที่บดขยี้จดหมาย,กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม,”ท้ายที่สุดนิกายเซิ่งชวนก็ไม่สามารถทนอยู่ได้,ทว่าการส่งศิษย์ฝ่ายในมา,ดูเหมือนว่าจะประเมินข้าจุนซ่างเซียวต่ำไปขนาดนี้เลยรึ?”

**********

โป๋เล่อดูม้า 乐相马

ตำนานจีนเล่าว่า โป๋เล่อ()เป็นเทพบนสวรรค์ที่จัดการดูแลเรื่องม้า ผู้คนจึงนำชื่อโป๋เล่อมาใช้เรียกผู้ที่มีความสามารถในการดูลักษณะม้าว่าเป็นม้าดีหรือม้าเลว และนำไปเปรียบเปรยว่าสามารถดูลักษณะคนเก่ง คนดี คนมีความสามารถ

乐相马 (bó lè xiàng mǎ โป๋เล่อดูม้า) จึงเป็นคำสุภาษิตจีน ที่มีความหมายว่า รู้จักและสามารถ ค้นหาสืบเสาะพิเคราะห์แยกแยะ คนเก่ง คนดี คนมีความสามารถ

เรื่องราวของคนที่ได้ชื่อว่าโป๋เล่อ คนแรกมีชื่อเดิมว่าซุนหยาง(孙阳)เป็นบุคคลในยุคชุนชิว(春秋) เนื่องจากเขามีความเชี่ยวชาญเรื่องม้าเป็นอันมาก ผู้คนจึงเรียกเขาว่าโป๋เล่อจนแทบไม่มีใครรู้ชื่อเดิมของเขา

มีวันหนึ่งเจ้ารัฐฉู่(楚王)ต้องการม้าที่วิ่งได้วันละพันลี้ ขอให้โป๋เล่อช่วยเสาะหา โป๋เล่อกล่าวว่า “ม้าพันลี้มีน้อย หายาก ต้องไปตระเวนหาตามดินแดนต่างๆ แต่ท่านอย่าได้กังกล ข้าจะพยายามสุดความสามารถ หาม้าพันลี้มาให้ท่าน”

โป๋เล่อเดินทางไปยังดินแดนต่างๆ แม้กระทั่งรัฐเอียน(燕国)รัฐจ้าว(赵国)ที่มีแหล่งเพาะเลี้ยงม้าก็ตระเวนดูจนทั่ว แต่ยังไม่พบม้าพันลี้ วันหนึ่งโป๋เล่อเดินทางจากรัฐฉี(齐国)เพื่อกลับรัฐฉู่(楚国) เห็นม้าตัวหนึ่งกำลังลากรถบรรทุกเกลือขึ้นเนินด้วยความยากลำบาก

ม้าหอบหายใจก้าวขาอย่างเหนื่อยยาก โป๋เล่อเดินเข้าไปดู ม้าเห็นโป๋เล่อเข้ามาใกล้ก็เงยหน้าถลึงตามอง ส่งเสียงร้อง เหมือนจะบอกกล่าวอะไรบางอย่างกับเขา เมื่อโป๋เล่อได้ยินเสียงร้องของม้าก็ทราบในทันทีว่านี่คือม้าดีที่ยากพบพาน จึงกล่าวกับคนขับรถเกลือว่า “ม้าตัวนี้หากควบขี่บนทุ่งหญ้าไม่มีม้าตัวใดเทียบฝีเท้าได้ แต่เมื่อนำมาลากรถกลับทำได้แย่กว่าม้าธรรมดา ท่านขายม้าตัวนี้ให้ข้าได้หรือไม่?”

คนขับรถเห็นโป๋เล่อคิดอย่างนั้นก็นึกว่าเป็นคนสติไม่ดี ม้าตัวนี้ไม่มีแรงลากรถ กินจุกว่าม้าตัวอื่น แต่ก็ยังผอมกะหร่องก่องดั่งฟืนแห้ง เขาจึงขายม้าให้กับโป๋เล่อทันที

โป๋เล่อนำม้ากลับรัฐฉู่ เมื่อถึงวังหลวง โป๋เล่อกล่าวกับม้าว่า “ข้าจะพาเจ้าไปพบกับเจ้านายใหม่” ม้าเหมือนเข้าใจคำพูด ส่งเสียงร้องก้องกังวานดังไปทั่ว เจ้ารัฐฉู่ได้ยินเสียงม้าจึงออกมาดู โป๋เล่อกล่าวว่า “ข้าพเจ้านำม้าพันลี้มาถวาย ขอท่านทรงพิจารณา”

เจ้ารัฐฉู่เห็นม้าที่โป๋เล่อจูงมาผอมกะหร่องอย่างกับม้าขี้โรค เข้าใจผิดคิดว่าโป๋เล่อล้อเล่น จึงกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ข้าเชื่อมั่นในความสามารถดูม้าของท่าน จึงวางใจให้ท่านจัดหาม้า แต่ท่านนำม้าอะไรกลับมา แค่ก้าวเดินยังยากลำบาก แล้วจะสามารถควบขี่ในสนามรบได้หรือ?”

โป๋เล่อตอบว่า “ม้าตัวนี้คือม้าพันลี้จริง เพียงแต่ก่อนหน้านี้ทำงานลากรถ ทั้งไม่ได้รับอาหารอย่างเพียงพอจึงซูบผอม ขอเพียงให้อาหารดูแลอย่างดี ไม่ถึงครึ่งเดือนม้าก็จะฟื้นฟูร่างกาย”

เจ้ารัฐฉู่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่ก็ทำตาม สั่งให้คนเลี้ยงม้าดูแลอย่างดี จากม้าซูบผอมกลายเป็นม้าสง่าสมบูรณ์แข็งแรง เมื่อขึ้นควบขี่ เพียงเร่งแส้ก็ได้ยินเสียงลมผ่านหูทั้งสองข้าง ใช้เวลาไม่นานก็ควบขับได้นับร้อยลี้ เจ้ารัฐฉู่ขี่ม้าตัวนี้รบทัพจับศึก สร้างผลงานได้ชัยหลายครา เจ้ารัฐฉู่จึงยิ่งเครารพนับถือความสามารถในการดูม้าของโป๋เล่อ

หันอวี้ (韩愈 บัณฑิตยุคราชวงศ์ถัง) กล่าวถึงโป๋เล่อในหนังสือ马说》(วิพากษ์ม้า) ไว้ว่า

โลกนี้มีโป๋เล่อจึงมีม้าพันลี้ ม้าพันลี้มีอยู่ทั่วแต่ไม่มีโป๋เล่อ แม้เป็นม้าดีแต่อยู่ในมือของคนธรรมดา จึงได้แต่เกิดและตายในคอกม้า ไม่ได้ชื่อฉายาว่าม้าพันลี้

ม้าพันลี้กินอาหารวันละหนึ่งต้าน( ประมาณ 60 ก.ก.)ผู้เลี้ยงไม่รู้จักม้า ย่อมไม่ทราบ แม้เป็นม้าพันลี้ หากกินไม่อิ่มดูแลไม่ดีย่อมไม่มีแรง ไม่สามารถแสดงศักยภาพที่แท้จริงออกมา ทั้งยังแย่กว่าม้าธรรมดา”

ใต้หล้าไร้ม้าพันลี้ ไม่มีม้าจริงหรือ?หรือว่าไม่มีคนรู้จักม้า?”

ที่มา https://baike.baidu.com/item/%E4%BC%AF%E4%B9%90%E7%9B%B8%E9%A9%AC/787772?fr=aladdin


ที่มา https://lnmtl.com/novel/strongest-sect-of-all-times

#นิยายแปล #Strongest Sect of All Times #นิกายที่แข็งแกร่งที่สุดนิรันดรกาล.
Author(s)
Goodbye Jianghu


เข้ากลุ่มลับ VIP ====> Click


 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น