วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2564

Strongest Sect of All Times Chapter 224 Each other kept thinking each other

Strongest Sect of All Times  Chapter 224 Each other kept thinking each other

 นิกายที่แข็งแกร่งที่สุดนิรันดรกาล

Chapter 224 Each other kept thinking each other

彼此都惦记上了彼此

 

เช้าวันถัดมา.

จุนซ่างเซียวที่เตรียมการเสร็จสิ้นและนำหลี่ชิงหยางพร้อมกับศิษย์คนอื่น ๆออกเดินทาง.

ใช้เวลาเดินทางสามวัน,ก็ไปถึงเขตมนทลฮวยหยิง,ในเวลานั้นเขาได้สั่งทุกคนเปลี่ยนชุดเป็นสีดำ.


การจัดการสำนักเห่าฉีที่เป็นสำนักธรรมมะ,จำเป็นต้องใช้วิธีการตรงไปตรงมาเช่นการประลอง,ทว่าการจะจัดการสำนักมารนั้น,แน่นอนว่าย่อมใช้วิธีอื่น.

วิธีอะไร?

นั่นก็คือการวางแผนลอบโจมตี.

เขาไม่ใช้ยันต์เปิดผนึกที่ล้ำค่า,เว้นแต่จะมีอันตรายใหญ่หลวงเท่านั้น.

ไม่เช่นนั้นแล้วเจ้าสำนักจุนคงเดินโทง ๆ ใช้ดาบยาว 40 เมตร เข้าไปทำลายหออินทรีย์ดำเพียงคนเดียวตรง ๆแล้ว.

“เจ้าสำนัก.”

หลังจากเปลี่ยนชุดดำแล้ว,เย่ซิงเฉินเอ่ยกล่าวออกมา,”ทำลายสำนักระดับเจ็ด,ทำไมต้องนำคนมามากมาย,ข้าเพียงคนเดียวก็พอแล้ว.”

ราชันย์รัตติกาลช่างอหังการยิ่งนัก.

ตัวเขา,ตลอดหลายวันมานี้,ด้วยการกลั่นร่างกายด้วยหอคอยเก็บประสบการ,ชัดเจนว่าร่างกายแข็งแกร่งขึ้นเป็นอย่างมาก.

อก,ท้อง,แขนขาที่มีกล้ามเนื้อปูดโปดแน่นเรียงชิดอย่างเห็นได้ชัด,กล้ามเนื้อที่ไร้ไขมัน,สมบูรณ์ราวกับเหล็กหล่อ.

นี่คือการยกระดับกายเนื้อที่น่าเกรงขาม.

เย่ซิงเฉินที่ไม่บ่มเพาะพลังวิญญาณแม้แต่น้อย,ทว่าตลอดครึ่งเดือนนี้,เขตแดนบ่มเพาะของเขาก็ก้าวจากไปถึงระดับศิษย์ยุทธ์ขั้นปลายแล้ว.

นับตั้งแต่จุติกลับมานี้,ที่เขาเริ่มบ่มเพาะ,แทบจะพร้อม ๆกับ หลี่ชิงหยางเข้าร่วมงานประลองยุทธ์สำนัก,มีระดับบ่มเพาะศิษย์ยุทธ์.

หากแต่ตอนนี้เย่ซิงเฉินที่ไล่ตามและแซงไปยังศิษย์ยุทธ์ขั้นปลายอย่างรวดเร็ว,เป็นเรื่องที่เกินบรรยายมาก.

ควรค่าที่จะให้เรียกว่าราชันย์ยุทธ์กลับชาติรึ?

ผิดแล้ว,นั่นเพราะว่าวิชาพระสูตรไท่ฉวนที่มีระดับเหนือกว่าระดับเทวะ,เป็นวิชาบ่มเพาะที่ลึกล้ำมาก.

นี่คือหนึ่งในสองวิชาที่ตาเฒ่าลึกล้ำได้ทิ้งเอาไว้ในอดีต.

นับตั้งแต่เย่ซิงเฉินจุติกลับมาก็บ่มเพาะมาตลอด,แม้นว่าจะสำเร็จเพียงขั้นสอง,ทว่าก็ได้รับทรัพยากรมากมายที่เหลือล้ำ,ไม่เช่นนั้นแล้วก็ไม่สามารถตัดผ่านระดับได้รวดเร็วถึงเพียงนี้.

กล่าวได้ว่า

เป็นเพราะทรัพยากรที่ได้จากสำนัก,ยิ่งทำให้เห็นผลอย่างชัดเจน.

เป็นเรื่องที่คุ้มค่าเป็นอย่างมาก,ที่ถูกบังคับให้เข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้ง.

หากไม่แล้ว.

หลังจากที่ราชันย์ยุทธ์กลับชาติมาเกิด,ไม่มีใครที่จะยอมอยู่ใต้คำสั่งใคร,ไม่มีทางที่จะเข้าร่วมสำนักใด ๆ.

เขาคงจะแต่สู้แข่งขันอยู่ด้านนอก,ยืนด้วยตัวเอง,เดินไปบนเส้นทางที่เคยเดิน,เพื่อยกระดับตัวเอง.

ส่วนราชันย์รัตติกาลตอนนี้นะรึ?

การเข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้ง,เขาที่แม้แต่แสดงผลงานมากมายเพื่อให้ได้ทรัพยากร.

เขาไม่ต้องการจะออกไปปากกัดตีนถีบอีกแล้ว,เส้นทางที่ยากลำบากและยาวนานเช่นนั้น,ไม่คุ้มค่าเลยแม้แต่น้อย.

เซียวจุ้ยจื่อเองก็เช่นกัน.

เขาที่เข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้ง,กับทรัพยากรที่เจ้าสำนักมอบให้,ทำให้เขาไม่ต้องยากลำบากเดินไปด้านหน้าอย่างขัดสน.

สามารถที่จะทุ่มพลังในการฝึกฝนเพียงอย่างเดียวได้.

กล่าวตามตรง,จุนซ่างเซียว.

ผู้เป็นผู้ปกครองสำนัก,ต้องการให้นิกายแข็งแกร่งขึ้น,ต้องการให้ศิษย์แข็งแกร่งขึ้น,เขาที่ทุ่มทรัพยากรทั้งหมดที่มีสนับสนุนสำนักอย่างเต็มที่.

เฮ้อ.

การฝึกฝนเพื่อแข็งแกร่งนับว่ายากแล้ว,การเป็นเจ้าสำนักยิ่งนับว่ายากกว่า.

เย่ซิงเฉินที่ขันอาสา,ไม่ใช่ว่าต้องการชำระความแค้น,แต่เขาต้องการทรัพยากรเพิ่มขึ้นต่างหาก.

ดังนั้น,การทำลายหออินทรีย์ดำ,เขาจึงอาสาคนเดียว.

น่าเสียดาย.

ถึงแม้นว่าราชันย์รัตติกาลจะมีความสามารถทำลายสำนักระดับเจ็ดได้,จุนซ่างเซียวก็ไม่อนุญาต,ต้องไม่ลืมว่าศิษย์คนอื่น ๆต้องการประสบการด้วยเช่นกัน.

......

บนภูเขาลูกหนึ่งในมนทลฮวยหยิง,เพราะว่าเป็นที่อยู่อาศัยของอินทรีย์,ทำให้เรียกที่นี่ว่าภูเขาอินทีย์.

หลายร้อยปีก่อน,คนของสำนักมารผ่านมาพบสถานที่แห่งนี้โดยบังเอิญ,พบเห็นว่าพื้นที่ดังกล่าวมีพลังวิญญาณหนาแน่น,จึงได้นำกองกำลังขึ้นไปบนภูเขาและสร้างหออินทรีย์ดำขึ้น.

เพราะว่าพื้นที่ค่อนข้างไกลห่าง,แต่ในเวลานั้น ๆก็สามารถยกระดับมาเป็นสำนักระดับเจ็ดได้.

ร้อยปีประสบความสำเร็จเช่นนี้,นับว่าร้ายกาจ.

สิบปีก่อน,เจ้าหออินทรีย์ดำที่ออกไปเก็บเกี่ยวประสบการ,ออกจากสำนักไป,และมอบให้เจ้าหอรุ่นสองที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่สุดในการควบคุมหออินทรีย์ดำ.

เล่ยเห่ยซา,เจ้าหอรุ่นสองที่มีนิสัยดุร้าย,ได้ใช้อำนาจกดขี่ผู้ฝึกยุทธ์ไร้สังกัดอย่างโหดร้าย,ทำให้สำนักของพวกเขาเติบโตอย่างรวดเร็ว.

ภูเขาอินทรีย์ดำ,ที่เชื่อมต่อกับภูเขาอีกหลายลูก.

โค้งวนเป็นแนวเทือกเขารูปขวานหัก,และมีน้ำตกที่ไหลลงสู่ด้านล่าง.

ทว่าที่จุดรวมภูเขานั้น,มีสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่,เป็นตำหนักหลักของหออินทรีย์ดำ.

ในเวลานี้.

ภายในห้องโถงหลัก,หออินทรีย์ดำ.

เจ้าหอ,เล่ยเห่ยซานั่งอยู่ที่นั่งบนสุด,ที่หน้าผากแผ่จิตสังหารมากมายออกมา.

รองเจ้าหอ,ที่นำศิษย์หกสิบคนออกไปหาประสบการที่หุบเขาแห่งความตาย,ครึ่งเดือนแล้วยังไม่กลับมา,ทำให้เขาตระหนักได้ว่ามีอะไรผิดปรกติ,จากนั้นก็ส่งคนออกไปสืบข่าว.

เช้าวันถัดมา.

เขาที่ได้ข้อมูลจากผู้ฝึกยุทธ์ไร้สังกัดผู้หนึ่งว่ารองเจ้าหอนั้นได้ไล่ตามสำนักไท่กู่เจิ้งที่เพิ่งออกมาจากหอประสบการไป.

จากนั้น...ก็ไร้การติดต่อ.

“เจ้าหอ.”

หลังจากรองเจ้าหออีกคนอ่านเนื้อหาของจดหมายเสร็จ,ก็กล่าวออกมาว่า,”รองเจ้าหอเหอไม่ได้กลับมา,เกรงว่าคงจะพบปัญหา,แน่นอนว่าผู้ต้องสงสัยอาจจะเกี่ยวข้องกับสำนักไท่กู่เจิ้ง.”

“กึกซี่.”

เล่ยเห่ยซาที่กำถ้วยน้ำชาจนกลายเป็นผง,จิตสังหารที่คละคลุ้งกล่าวออกมาทันที,”ไปรวบรวมพี่น้องของพวกเรา,เดินทางไปกับเปิ่นจัว ยังสำนักไท่กู่เจิ้ง.

เป็นดังที่จุนซ่างเซียวคิดเอาไว้.

สำนักมาร,ขอเพียงแค่สงสัย,ไม่ต้องมีหลักฐาน,ก็พร้อมจะนำคนของตัวเองไปสังหารอีกฝ่าย.

“รับทราบ.”

รองเจ้าหอที่ก้าวออกจากห้องโถงทันที.

“ชิ.”

เหล่ยเห่ยซาที่โกรธเกรี้ยวแผ่จิตสังหารมากขึ้นและมากขึ้น,”สำนักไท่กู่เจิ้ง กล้าที่จะสังหารคนของเปิ่นจัว,เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นที่ต้องคงอยู่อีกแล้ว.”

ชัดเจนว่า,พวกเขาเตรียมที่จะทำลายทั้งสำนักทิ้ง.

“เจ้าหอ.”

ชายวัยกลางคนที่มีหนวดแพะสวมชุดคลุมยาว,กล่าวออกมาอย่างจริงจัง,”สำนักไท่กู่เจิ้งนั้น,ไม่ธรรมดา.”

คนผู้นี้มีนามว่าหยางจื่อ.

พลังบ่มเพาะไม่ได้สูงนัก,ทว่าเขาก็นับว่าเป็นกุนซือคนหนึ่งของหออินทรีย์ดำ.

การออกไปปล้นชิงส่วนใหญ่จะถูกวางแผนโดยเขา,ทำให้ทุกแผนการประสบความสำเร็จเสมอมา.

“หืม?”

เล่ยเห่ยซาเอ่ย,”ไม่ธรรมดาอย่างไร?”

หยางจื่อเอย,”เท่าที่ข้ารู้มา,สำนักไท่กู่เจิ้งได้ไปประลองกับสำนักเห่าฉีเมื่อเร็ว ๆนี้.”

เล่ยเห่ยซาที่ตกใจ,กล่าวด้วยความประหลาดใจ,”งั้นพวกเขาเป็นสำนักระดับหกสินะ,ถึงกล้าท้าทายสำนักระดับหกรึ?”

หากพวกเขาเป็นสำนักระดับหก,การยกกำลังออกไปไม่เป็นผลดีนัก.

การเร่งรีบสู้กับอีกฝ่าย,อาจถูกอีกฝ่ายกำจัดเอาได้.

หยางจื่อเอ่ย,”สำนักไท่กู่เจิ้งเป็นสำนักระดับเก้า....เอ่อ,ไม่ ๆ,เป็นสำนักระดับแปดเพิ่งเลื่อนระดับเมื่อเร็ว ๆนี้.”

“ว่าอะไรนะ?”

เล่ยเห่ยซาที่ดวงตาเบิกกว้างกลมโต,”สำนักระดับแปดที่เพ่งเลื่อนระดับ,ท้าทายสำนักเห่าฉีระดับหกงั้นรึ?”

หยางจื่อเอ่ย,”ข้าเพิ่งเข้าไปในเมื่อเมื่อเร็ว ๆนี้,ได้ข่าว,ก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน.”

เหล่ยเห่ยซาที่เผยยิ้ม,กล้าท้าทายฉินเห่าหราน,คงจะถูกทุบจนฟ้าเหลืองกลับไปสินะ.”

“กลับกันเลยต่างหาก.”

หยางจื่อเอ่ย,”เป็นฝ่ายฉินเห่าหรานที่พ่ายแพ้ยังเยิน,แม้แต่ศิษย์ของเขาก็บอบช้ำสาหัสไปหลายคน.”

จากนั้นเขาก็เริ่มเล่ารายระเอียดต่าง ๆที่ได้ยินมา,ให้เจ้าหอฟัง.

“ไร้สาระ!

เล่ยเห่ยซาที่ทุบโต๊ะเสียงดัง,”เหลวไหล,สำนักระดับแปด,จะไปเอาชนะฉินเห่าหรานได้อย่างไร,เรื่องนี้เกรงว่าจะเป็นเพียงข่าวลือแล้ว.”

“เจ้าหอ.”

หยางจื่อเอ่ย,”เรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นข่าวลืมหรือไม่,ผู้ใต้บังคับบัญชาเชื่อว่าหากจะจัดการสำนักไท่กู่เจิ้ง,จะต้องวางแผนให้ดี,ไม่เช่นนั้นพวกเราอาจจะพ่ายก็ได้.”

เหล่ยเห่ยซานที่เชื่อใจเขาเป็นอย่างมาก,เพราะหลาย ๆครั้ง,เพราะได้รับคำแนะนำ,ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงความเสียหายได้.

“เซียนเซิงหยาง.”

เขาเอ่ย,”ตามความเห็นของท่าน,พวกเราควรทำอย่างไร?”

หยางจื่อเอ่ย,”ในเวลานี้,พวกเราไม่ควรใจร้อน,ไม่รู้ว่าสำนักไท่กู่เจิ้งคือฆาตกรหรือไม่,ก่อนอื่นควรจะส่งคนออกไปสืบข่าว,เมื่อแน่ใจแล้วว่ารองเจ้าหอเหอถูกพวกเขาสังหารจริงค่อยลงมือก็ยังไม่สาย.”

“แล้วหากเป็นฝีมือพวกเขาล่ะ?”เล่ยเห่ยซาเอ่ย.

หยางจื่อที่ดวงตาหรี่เล็ก,กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา,”พวกเราก็ล้อมซุ่มรอสังหารเหล่าศิษย์สำนักไท่กู่เจิ้งที่ออกนอกสำนักไปทีละคน,ทำลายพวกมันกัดกร่อนกำลังพวกมันช้า ๆ ให้ตายทั้งเป็น.”

“ตกลง.”

เล่ยเห่ยซาที่กล่าวเห็นด้วย,”ส่งกลุ่มนักฆ่าดื่มโลหิตออกไปจัดการ,ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขาจะต้องจัดการสำนักไท่กู่เจิ้งได้แน่”

ด้วยกลุ่มนักฆ่าดื่มโลหิต,พวกเขาเป็นกลุ่มมือสังหารที่แข็งแกร่ง,เป็นนักระดับสูงของหออินทรีย์ดำ.

เจ้าหอเล่ยเห่ยซา,ที่รับฟังคำแนะนำ,พร้อมกับเตรียมกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดพร้อมจะใช้วิธีการที่โหดร้ายเพื่อจัดการอีกฝั่งทันที.

เพียงแต่น่าเสียดาย.

ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นี้.

ที่เชิงเขา,จุนซ่างเซียวและลี่ลั่วฉิวที่เดินทางมาก่อนได้วางกำลังล้อมรอบ,พร้อมที่จะทำลายล้างหออินทรีย์ดำแล้ว.


ที่มา https://lnmtl.com/novel/strongest-sect-of-all-times

#นิยายแปล #Strongest Sect of All Times #นิกายที่แข็งแกร่งที่สุดนิรันดรกาล.
Author(s)
Goodbye Jianghu


เข้ากลุ่มลับ VIP ====> Click


 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น