วันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2562

Immortality Chapter 172 The second idea, three people of to become Hu

Immortality Chapter 172  The second idea, three people of to become Hu

นิยาย เรื่อง อมตะ  Chapter 172  The second idea, three people of to become Hu

第二,三人成虎
  แผนสอง ,สามคนกลายเป็นเสือ.
***ข่าวลือ หรือคำเท็จ เมื่อถูกพูดออกไปแบบปากต่อปากมากๆเข้า  ก็สามารถทำให้คนทั่วไปที่ไม่ได้รับข้อมูลด้านอื่นเข้าใจผิด ว่าเรื่องที่ไม่มีมูลความจริงหรือเรื่องเท็จเหล่านั้นเป็นความจริง**

นับตั้งแต่ได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางระดับห้าอย่างเป็นทางการ,ร่างกายของจงซานก็รู้สึกสบายขึ้น,เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด,ราวกับว่าร่างกายเต็มไปด้วยพลัง,และพลังฝึกตนที่พัฒนาเร็วขึ้นกว่าเดิมอย่างชัดเจน.



จงซานรู้ดี,นี่คือวาสนา,เป็นวาสนาที่คลุมร่างกาย,นี่คือการชำระล้างของกรรม,จากการก่อตั้งราชวงศ์ต้าเจิ้งวาสนาที่สร้างขึ้นมานั้น,การสะสมวาสนายังช้าอยู่,มันจึงเพิ่มขึ้นทีละน้อยๆ,ไม่สามารถเห็นผลได้ชัดเจน,แต่การได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางระดับห้านั้น,ด้วยวาสนาที่ได้รับเพียงพอ,พริบตาเดียวจงซานก็สามารถสัมผัสได้แล้ว.

แม้ว่าจะไม่ถึงกับสำเร็จมรรคาระดับอ่อนนุ่ม,ทว่า,ด้วยวาสนามากมายที่อาบไปทั่วร่างนี้,พร้อมกับวาสนาของราชวงศ์กษัตริย์ที่มีเล็กน้อย,จงซานสามารถสัมผัสได้ว่าพลังฝึกตนของตัวเองเพิ่มเป็นสองเท่า,นับว่าเร็วเลยทีเดียว,ช่วยประหยัดเวลาเขาไม่น้อยเลย,ทว่าจงซานก็ยังไม่สามารถวางใจได้,เพราะว่าถึงจะเร็วเป็นสองเท่า,แต่เป็นสองเท่าของตัวเขาที่มีพรสวรรค์ทางร่างกายไม่ดี,เทียบกับคนอื่นแล้วก็ยังถือว่าช้า,เวลานี้คงจะเทียบกับคนที่มีพรสวรรค์ระดับกลางของคนที่ไม่ได้รับวาสนา.

อย่างไรก็ตามการเพิ่มขึ้นมาเช่นนี้,จงซานก็รู้สึกพึงพอใจแล้ว,ทุกๆวันเขายังคงฝึกฝนท่าร่างไม่ขาด,เว้นแต่วันไหนไม่ต้องคิดแผนการการหาเสียงในเมืองอู๋ซวัง,เขาก็จะฝึกฝนทั้งวันทั้งคืนทีเดียว.

จงซานที่บ้าคลั่งในการฝึกฝน,ดูเหมือนว่ากงจูเฉียนโหยวจะเข้าใจดี,เช่นนั้นนางจึงไม่ได้รบกวนเขาเท่าที่จำเป็น.

เวลานี้ทุกคนที่รอคอยจงซานอย่างอดทน.

หลังจากจงซานฝึกกระบวนท่าร่างฟันน้ำในสระพอแล้ว,จากนั้นก็ปล่อยแกนแท้อาบไปทั่วคมดาบ,จากนั้นก็ปล่อยปราณดาบยักษ์ออกไป,ดาบยักษ์ที่ฝันออกไปยังใจกลางสระช้าๆ.

สุ่ยเทียนหยาที่จ้องมองอยู่กับการกระทำของจงซาน,เมื่อเขาแผ่พุ่งปราณแท้ฉาบไปทั่วดาบเพื่อเพิ่มความคมตัดผ่านสระน้ำเช่นนี้,จะเกิดประโยชน์อะไรกัน?

ดาบของเขาที่ฟันลงไป,ปราณดาบขนาดสิบจั้งที่พุ่งตรงลงไปยังสระน้ำ,คาดไม่ถึงเลยว่าเมื่อสัมผัสผิวน้ำก็แยกออกเป็นสองสาย,กลายเป็นคลื่นสายลมที่พุ่งออกไปสองข้าง,ระเบิดออกไปทิศทิศทุกทาง.

ทว่าดูเหมือนปราณดาบที่ส่งออกไปนั้นเป็นเหมือนกับคลื่นสายลมที่ระเบิด คล้ายปราณดาบ,เปลี่ยนเป็นคลื่นอัดอากาศที่รุนแรง,เพียงแค่ฟันออกไป,ด้วยการอัดถ่ายพลังปราณและปล่อยออกไปอย่างรุนแรง,สามารถที่จะตัดผ่านผิวน้ำออกเป็นสองสาย,ม้วนกวาดสายน้ำเป็นคลื่นใหญ่,พร้อมกับระเบิดสายลมที่ทรงพลัง,พุ่งออกไปกระแทกฝั่งเสียงดังสนั่น.

"คลืนนนนน"

กระแสน้ำที่ทะลักอาบไปทั่วฝั่ง,ซักสาดชายอย่างอย่างรุนแรง,เกิดเป็นคลื่นที่สูง,สาดสูงคลุมต้นไม้ใหญ่ก่อนที่จะค่อยไหลกลับลงมายังสระน้ำเป็นการระเบิดสระน้ำ,เป่าน้ำทั้งหมดให้หายไปในพริบตา,ม้วนกวาดกลายเป็นคลื่นใหญ่เขาไปกระแทกฝั่ง.

กระบวนท่าดังกล่าว,ดูเหมือนว่าจะเป็นการแผ่พุ่งแกนแท้ลงไปธรรมดา,หลังจากที่ปล่อยกระบวนท่าดังกล่าวเสร็จแล้ว,ดูเหมือนว่าจะทำให้จงซานถึงกับยืนหอบๆ,หายใจแรงเลยทีเดียว,ทว่าใบหน้าของเขาที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น.

ขณะที่จงซานใช้กระบวนท่าต่อไป,กงจูเฉียนโหยวถึงกับยืนขึ้นพรวดพราด,ชำเลืองมองตาโต,คนอื่นๆอีกสามคนก็เผยสีหน้าไม่อยากเชื่อด้วยเช่นกัน.

"สามคลื่นดาบทำลาย"กงจูเฉียนโหยวที่อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ.

"ไม่ใช่,นี่ไม่ใช่เพลงดาบแต่อย่างใด,สามคลื่นดาบทะลายนี้เป็นวิชาที่มีแต่ผู้ฝึกตนระดับก่อตั้งวิญญาณเท่านั้นถึงจะทำได้,ไม่ใช่วิชาลับ,เป็นวิชาอะไรอย่างงั้นรึ?"กงจูเฉียนโหยวที่ออกความเห็น.

คนทั้งสามที่จ้องมองด้วยความอัศจรรย์ใจเช่นกัน.

กงจูเฉียนโหยวที่อุทานออกมา,ทันใดนั้นจงซานก็หันกลับมามองในทันที,ก่อนหน้านี้เขาได้สร้างเพลงดาบขึ้นมาเอง,เป็นการคิดขึ้นมาในใจ,กงจูเฉียนโหยวคงจะไม่ค้นพบ.

จงซานที่แผ่แกนแท้ไปที่ขาก่อนที่จะกระโดดข้ามมา,พร้อมกับจัดแจงเสื้อผ้าให้ดูเรียบร้อย.

"คารวะกงจู."จงซานกล่าว.

"เซียนเซิง,เพลงดาบก่อนหน้านี้คือ?ไม่เคยเห็นเลย? นอกจากนี้เหมือนว่าผู้ฝึกตนระดับก่อตั้งวิญญาณเท่านั้นถึงจะใช้เพลงดาบเช่นนี้ได้?"กงจูเฉียนโหยวที่กล่าวออกมาด้วยท่าทางประหลาดใจ.

กงจูเฉียนโหยวที่จ้องมองอยู่,นางย่อมสามารถมองเห็นพลังฝึกตนของเขาได้อย่างแจ่มแจ้ง,เป็นไปได้ว่ากงจูเฉียนโหยวนั้นมีพลังฝึกตนอยู่ในระดับหลอมกายธาตุ,เพลงดาบก่อนหน้านี้นั้น,เป็นเพลงดาบที่เข้าคิดค้นขึ้นเอง,ทะลายจุดอ่อน,ระดับแรกคือผ่าฟืน,ระดับที่สองคือตัดต้นข้าว,ระดับที่สามผ่าหินและระเบิดสายน้ำ.

กงจูเฉียนโหยวย่อมสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน,ทว่าจงซานก็ไม่โง่ที่จะเปิดเผยเคล็ดวิชานี้ออกไป.

"นี่คือทักษะระดับต่ำเท่านั้น,ใยจะกล้าอวดอ้างต่อคนที่โดดเด่นเช่นกงจูล่ะ,มีแต่จะทำให้กงจูหัวร่อเท่านั้น."จงซานที่หัวเราะออกมาเบาๆ.

ได้ยินคำพูดของจงซานแล้ว,กงจูเฉียนโหยวรู้ว่าเขากล่าวออกมาพอเป็นพิธีเท่านั้น,ในเมื่อจงซานไม่ต้องการจะกล่าว,กงจูเฉียนโหยวย่อมไม่สามารถบังคับได้.

"เซียนเซิง,พวกเราควรที่จะเริ่มขั้นตอนเรียกคะแนนเสียงแล้ว,การเลือกตั้งนั้นจะเริ่มสิบเดือนหลังจากนี้."กงจูเฉียนโหยวกล่าว.

"นำแผนที่มาด้วยหรือไม่?"จงซานกล่าว.

"อาต้า."กงจูเฉียนโหยวที่เอ่ยออกมา.

อาต้าที่นำหยกสีขาวออกมาวางบนโต๊ะ,เป็นหยกที่แบบราบ,เพียงแค่เปิดใช้งาน,มันก็ฉายภาพแผนที่ของเมืองอู๋ซวังออกมา,อย่างไรก็ตามสถานที่ที่ปกคลุมด้วยม่านสีแดง,และม่านสีน้ำเงิน,ก็มีแสงปกคลุมอยู่,ไม่สามารถมองเห็นด้านในได้,นอกจากนี้ภาพที่ฉายออกมานั้นยังเป็นภาพสามมิติ.

"สุ่ยเทียนหยา,เจ้าอธิบายเกี่ยวกับการลงคะแนนเสียงให้เซียนเซิงฟัง."กงจูเฉียนโหยวกล่าว.

"ครับ."สุ่ยเทียนหยารับคำ,จากนั้นก็ก้าวออกมา.

"ทั่วทั้งเมืองแห่งนี้,มีอยู่ 72 เขตพื้นที่,แต่ละพื้นที่จะมีเวทีสำหรับลงคะแนนสิบแห่ง,แต่ละแห่งจะมีขวดน้ำเต้ายักษ์ปรากฏอยู่ที่เวทีเลือกตั้ง,หนึ่งสีแดงและหนึ่งสีนำเงิน,สีแดงนั้นคือข้า,ส่วนสีน้ำเงินก็คือโม่ไป่หลี่,ทุกๆคนจะสามารถลงคะแนนได้เพียงแค่ครั้งเดียว,สามารถนับตราประทับส่วนตัวเพื่อไปประทับที่ขวดน้ำเต้าได้,เมื่อทำการลงคะแนน,ชื่อของผู้ลงคะแนนจะถูกบันทึกลงในของวิเศษ,เมื่อลงคะแนนไปแล้ว,เมื่อประทับครั้งที่สองจะไม่เป็นผล,และทุกๆวันคะแนนเลือกตั้งจะมาปรากฏขึ้นที่ป้ายหยกขนาดยักษ์บนทิศเหนือและทิศใต้,สามารถที่จะมองเห็นคะแนนของประชาชนในแต่ละวันได้."สุ่ยเทียนหยาตอบ.

"หืม?ตราประทับนี้นะรึ?"จงซานที่นำตราประทับขุนนางของตัวเองออกมา,ซึ่งดูเหมือนกับก้อนอิฐก้อนหนึ่ง.

"ใช่แล้ว,ประชาชนทุกคนของราชวงศ์สวรรค์ต้าโหลวมีเหมือนๆกัน,เพราะว่ามันถูกสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ,ดังนั้นจึงไม่สามารถปลอมแปลงได้,และเพราะว่ามันเป็นข้อมูลส่วนบุคคล,ดังนั้นมันจึงเป็นตราประทับส่วนตัวซึ่งสามารถแยกแยะคนของราชวงศ์สวรรค์ต้าโหลวได้เป็นพิเศษ."สุ่ยเทียนหยากล่าว.

จงซานที่จ้องมองตราประทับในมือ,ก็รู้สึกประหลาดใจ,ตราประทับที่แปลกๆนี้,สร้างขึ้นมาอย่างไร? ดูเหมือนว่ามันจะเป็นผนึกเฉพาะบุคคล,ไม่ต่างจากบัตรประชาชนที่โลกเดิมขอเขาเลย? ไม่เพียงแต่ไม่สามารถปลอมแปลงได้,ยังสามารถเชื่อมโยงกับศูนย์กลางได้ด้วย,นับเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ,หลังจากนี้ต้องหาโอกาสเรียนรู้เทคโนโลยีนี้ด้วยแล้ว.

"ผลตอบรับของการหาเสียงเป็นอย่างไรบ้าง?"จงซานที่จ้องมองสอบถามไปยังสุ่ยเทียนหยา.

ได้ยินคำพูดของจงซานแล้ว,ใบหน้าของสุ่ยเทียนหยาที่เต็มไปด้วยความกังวล,เห็นท่าทางของสุ่ยเทียนหยาเช่นนั้น,สายตาของจงซานที่จับจ้อง,ขมวดคิ้วไปมา.

"เซียนเซิง,วิธีของท่าน,ดูเหมือนว่าในคราแรกจะมีคนเชื่อเกี่ยวกับการหาเสียงด้วย"วิกฤติสงครามอยู่บ้าง ทว่าโม่ไป่หลี่ฝ่ายตรงข้ามก็ใช้วิธีหาเสียงด้วย"ยุคแห่งความสงบ" จนทำให้ผู้คนมีแนวโน้วเชื่อพวกเขามากกว่า,นอกจากนี้ข้ายังส่งคนออกหาเสียงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสร้างปัญหาขึ้นเท่านั้น,ถึงแม้ว่าจะมีคนเชื่อ,แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็กลายเป็นคลางแคลงใจ,และการจัดการดินแดนทิศใต้ให้ดูเข้มงวดนั้น,กลับทำให้พวกเขาโอดครวญสร้างความลำบากให้กับพวกเขาไปด้วยซ้ำ."สุ่ยเทียนหยาที่ถอนหายใจยาว.

กงจูเฉียนโหยวยังคงจิบน้ำชา,ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา,นางยังคงจ้องมองนิ่งงัน,เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย,ดูเหมือนว่านางกำลังรอจงซานกำลังหาวิธีต่อไป.

แน่นอนด้วยประสบการและเชาว์ปัญญาของจงซานนั้น,กงจูเฉียนโหยวที่คาดหวังกับจงซานมากขึ้นและก็มากขึ้น,เกี่ยวกับการหาเสียงในเมืองอู๋ซวังนั้น,กงจูเฉียนโหยวไม่ต้องการที่จะทำอะไรแล้ว,นางไม่ต้องการใช้ความคิดอะไรเลย,และนางเองก็ไม่จำเป็นต้องหาวิธีหรือการเตรียมการใดๆดังสิ้นเพื่อแก้ปัญหา,ตอนนี้นางแค่เฝ้ารอคอยดูจงซานดำเนินการ,จ้องมองว่าเขาจะจัดการเรื่องคราวนี้เช่นไร,เป็นเหมือนกับการประเมินจงซาน,กงจูเฉียนโหยวต้องการเห็นว่า,จงซานนั้นมีความสามารถมากมายขนาดใหนกัน.

เมืองอู๋ซวังแห่งนี้ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว,ก็ไม่อยู่ในสายตาของกงจูเฉียโหยวเท่าใดนัก,ถึงแม้ว่าจะเป็นคำสั่งของอ๋องเจิ้งอี้ก็ตาม,แต่ผลสำเร็จหรือล้มเหลวในครั้งนี้,จะเป็นแบบทดสอบคนของนางว่ามีความสามารถขนาดใหน.ผลของมันคือสิ่งที่ล้ำค่ากับนางมากกว่า.

จงซานที่ได้ยินคำพูดของสุ่ยเทียนหยา,ทำให้เขาครุ่นคิดนิดหนึ่ง,ไม่ได้กล่าวอะไร,สุ่ยเทียนหยาทำเพียงพอหรือไม่?ไม่ได้ผลอย่างงั้นรึ?

"ใต้เท้าสุ่ย,ท่านหาเสียงและให้คนปล่อยข่าวลือไปพร้อมกันหรือไม่?"จงซานสอบถาม.

"ทุกๆวันคนของพวกเราจะต้องช่วยข้าหาเสียง."สุ่ยเทียนหยางกล่าว.

เห็นท่าทางพึงพอใจของสุ่ยเทียนหยาแล้ว,จงซานถึงกับโง่งมไปเลย,ก่อนที่จะหันหน้าไปทางกงจูเฉียนโหยว,ทว่านางก็ปล่อยให้เขาเป็นคนจัดการ,ราวกับว่าเรื่องทุกอย่างขึ้นอยู่กับเจ้า.

จงซานที่ขมวดคิ้วไปมาเมื่อจ้องมองไปยังกงจูเฉียนโหยว,จงซานราวกับสามารถคาดเดาได้ถูกต้องในความคิดของกงจูเฉียนโหยว,ทำให้เขาได้แต่ทอดถอนใจ,ก็ได้,ยังไงก็เป็นหนี้เจ้าเมื่อครั้งค่ายกลแปดประตูกุญแจทองอยู่แล้ว.

"ใต้เท้าสุ่ย,ท่านหาเสียงปรกติ,และปล่อยข่าวลือลับๆไปด้วย,จะหยุดทำอย่างใดอย่างหนึ่งได้อย่างไร? ยิ่งเวลานาน,ผู้คนย่อมมีภูมิคุ้มกัน,ทุกๆวันจะต้องพูดซ้ำๆคำเดิม,เพื่อที่จะให้พวกเขาสนใจฟัง?ท่านต้องทำให้พวกเขาเชื่อสนิทใจ,ให้แต่ละคน,คอยสับเปลี่ยนพูดเรื่องเดียวกันซ้ำๆในแต่ละวัน,ติดต่อกันราวๆ 300 วัน,ให้พวกเขาช่วยกันหาเสียงและปล่อยข่าวลืออย่างเต็มที,ให้ทุกคนสามารถได้เห็น,และคนที่แตกต่างกันบอกเกี่ยวกับ"วิกฤติสงคราม,วันหนึ่งให้พวกเขาเห็นสามคนที่พูดเหมือนกัน,สิบวันก็ให้เห็นคนที่แตกต่างกัน 30 คน,และให้เพิ่มเป็นหนึ่งร้อยคนกับคนที่แตกต่าง,พูดเรื่อง"วิกฤติสงคราม"ถึงแม้วพวกเขาไม่เชื่อก็ให้พวกเขาคลางแคลงใจ,ใต้เท้าเคยได้ยินหรือไม่,สามคนกลายเป็นเสือ?"จงซานที่ล่าวออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายใจ.

ได้ยินคำพูดของจงซานแล้ว,ใบหน้าของสุ่ยเทียนหยาที่เปลี่ยนเป็นสีแดง,เขารู้ว่าก่อนหน้านี้เขาเข้าใจความหมายผิดไปเล็กน้อย.

"อืม,ข้าพบว่าใต้เท้าสุ่ยยังทำไม่ถูกต้อง."จงซานที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง.

"หืม?อย่างไรรึ?"กงจูเฉียนโหยวที่กล่าวออกมาด้วยความประหลาดใจ.

"ใต้เท้าสุ่ยท่านไม่เชื่อเรื่องวิกฤติสงคราม,ท่านควรจะจริงจังและใช้อารมณ์กับคำพูดของท่านด้วย,อารมณ์ความรู้สึกนั้นมีผลต่อการหาเสียงกับผู้คนอย่างแน่นอน,ท่านไม่เชื่อและมั่นใจในตัวเองในการหาเสียง?อย่างแรก,ใต้เท้าควรที่จะปรับสภาพอารมณ์ตัวเองก่อน,เชื่อในตนเอง,และสร้างภาพให้ทุกคนได้เห็น,ให้ผู้คนได้เห็นคำพูดที่หนักแน่นน่าเชื่อถือ,และทุกวันก่อนที่จะออกไปหาเสียงนั้น,จะต้องรวมตัว,เพื่อที่จะล้างสมองคนของท่านทุกคนก่อนออกไป." วิธีการเหล่านี้นั้นเป็นวิธีการเกี่ยวกับการตลาดการค้าขาย,กล่าวได้ว่าจงซานนั้นเชี่ยวชาญที่สุด.

"ล้างสมอง?"สุ่ยเทียนหยาที่จ้องมองจงซานด้วยความสงสัย.

"ก่อนที่จะออกไปหาเสียงเชิญชวนประชาชนในทุกๆวันนั้น,ท่านจะต้องบรรจุความคิดเกี่ยวกับ"วิกฤติสงคราม"ใส่หัวพวกเขาทำให้ภายในใจของพวกเขามีอารมณ์ร่วมรู้สึกเป็นทุกข์ถึงเรื่องนี้,นี่ถือจะเป็นการหาเสียงที่ดี."จงซานกล่าว.

"ทำเช่นนี้แล้ว,จะได้ผลแตกต่างกันอย่างงั้นรึ?"สุ่ยเทียนหยาสอบถาม.

"แน่นอน,ท่านไม่เชื่อมันที่จะโน้มน้าวคนอื่นได้อย่างงั้นรึ? การหาเสียงเอง,ก็เป็นหนึ่งในการชักจูงทำให้ทุกอย่างเป็นเรื่องชอบธรรมด้วยความพูด,นี่ถึงจะเป็นการหาเสียงที่ดีเยี่ยม."จงซานกล่าวออกมาด้วยท่าทางขึงขัง.


...................
ซานเหรินเฉิงหู่ (三人成虎) : 3 คนกลายเป็นเสือ 
三(sān) อ่านว่า ซาน แปลว่า สาม
人(rén) อ่านว่า เหริน แปลว่า คน
成(chéng) อ่านว่า เฉิง แปลว่า กลายเป็น
虎(hǔ) อ่านว่า หู่ แปลว่า เสือ

ในสมัยสงครามระหว่างรัฐ (จั้นกั๋ว) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีรัฐประเทศเล็ก ๆ อยู่หลายรัฐ ซึ่งแต่ละรัฐก็มักจะก่อสงครามรบพุ่งกันเสมอ จึงถือว่ายุคนั้นเป็นยุดแห่งการสงคราม

ในยุคนั้นมีรัฐ 2 รัฐ ที่มีเขตแดนติดกันคือรัฐเว่ย และรัฐเจ้า และเพื่อเป็นคำมั่นในการเจริญสัมพันธไมตรี หยุดสู้รบ ทั้ง 2 รัฐจึงตกลงที่จะแลกเปลี่ยนคนกันเพื่อเป็นหลักประกัน ดังนั้นอ๋องรัฐเว่ยจึงส่งบุตรชายคนเดียวของตนไปเป็นตัวประกันยังเมืองหลวงรัฐเจ้า ทั้งยังส่งขุนนางชั้นสูง นาม ผางชง เดินทางไปยังรัฐเจ้าด้วยเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยให้องค์รัชทายาทแห่งรัฐเว่ย
 
ผางชง เป็นขุนนางที่มีความรู้ความสามารถอย่างยิ่ง ในวังหลวงจึงมีขุนนางอื่นที่ตั้งตนเป็นปรปักษ์กับเขามากมายเนื่องจากความริษยา ดังนั้นเข้าจึงเกรงว่าหากตนเองเดินทางออกจากวังหลวงแล้วจะมีผู้ไม่หวังดีมาเพ็ดทูลให้ร้ายตน ดังนั้นก่อนออกเดินทาง เขาจึงกล่าวกับอ๋องรัฐเว่ยว่า

"ท่านอ๋อง หากตอนนี้มีคนผู้หนึ่งกล่าวว่า บนท้องถนนกลางเมืองมีเสือเดินมา ท่านจะเชื่อหรือไม่?"
  
อ๋องรัฐเว่ยกล่าวว่า "ย่อมไม่เชื่อ เสือที่ไหนจะวิ่งขึ้นมาบนท้องถนนกลางเมือง"
  
ผางชงกล่าวอีกว่า "หากมีคน 2 คนกล่าวเช่นเดียวกันเล่า ท่านจะเชื่อหรือไม่?"
 
อ๋องรัฐเว่ยตอบว่า "หาก 2 คนพูดเหมือนกัน ข้าก็คงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง"
  
ผางชงจึงกล่าวว่า "งั้น หากมีคนถึง 3 คนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า บนท้องถนนปรากฏเสือตัวใหญ่ ท่านเห็นอย่างไร?"
  
คราครั้งนี้อ๋องรัฐเว่ยจึงตอบว่า "ถ้าทุกคนพูดเหมือนกัน ข้าก็ได้แต่เชื่อเช่นนั้นแล้ว"
  
เมื่อได้ยินอ๋องรัฐเว่ยกล่าวเช่นนั้น ขุนนางใหญ่ได้แต่ถอนหายใจ พลางกล่าวว่า "ท่านอ๋อง เสือไม่อาจวิ่งเข้ามาบนท้องถนน เรื่องนี้คนทั่วไปต่างทราบดี แต่เพียงมีคน 3 คนพูด เหมือนกัน เรื่องเสือบนถนนนี้กลับกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา เช่นเดียวกับหานตาน (เมืองหลวงแห่งรัฐเจ้า) ซึ่งห่างไกลจากต้าเหลียง (เมืองหลวงแห่งรัฐเว่ย) เรามากโข ทั้งคนที่รอจะเพ็ดทูลเรื่องต่าง ๆ ต่อพระองค์ก็ไม่ใช่ว่าจะมีเพียง 3 คนเท่านั้น"
  
อ๋องรัฐเว่ยเข้าใจความนัยของคำพูดขุนนางเอก จึงพยักหน้ากล่าวว่า "ข้าเข้าใจ เจ้าจงวางใจและเดินทางไปเถิด"
  
จากนั้นรัชทายาทพร้อมด้วยขุนนางผางชงจึงออกเดินทาง
 
หลังจากที่ผางชงจากไปไม่นาน ก็มีบรรดาขุนนางที่ริษยาพากันมาเพ็ดทูลให้ร้ายเขาดังคาด แต่อ๋องรัฐเว่ยก็แก้ต่างให้ผางชงในทุก ๆ ครั้ง และยกย่องว่าผางชงเป็นขุนนางผู้มีสติปัญญาและความจงรักภักดี

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า ได้รับฟังเรื่องราวความไม่ดีของผางชงมากขึ้น ๆ สุดท้ายอ๋องรัฐเว่ยก็กลับคล้อยตามและเชื่อว่าผางชงเป็นขุนนางโฉดไปในที่สุด

สามคนกลายเป็นเสือ แม้ความจริงไม่มีเสือ แต่เมื่อหลายคนพูดเช่นเดียวกัน ข่าวลือว่ามีเสือก็ทำให้ผู้คนที่รับฟังเชื่อว่าเป็นความจริงได้ สุภาษิตคำนี้หมายความถึง ข่าวลือ หรือคำเท็จ เมื่อถูกพูดออกไปแบบปากต่อปากมากเข้า ๆ ก็สามารถทำให้คนทั่วไปที่ไม่ได้รับข้อมูลด้านอื่นเข้าใจผิด ว่าเรื่องที่ไม่มีมูลความจริงหรือเรื่องเท็จเหล่านั้นเป็นความจริง

//www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9510000124569




ที่มาจากhttps://lnmtl.com/novel/immortality

#นิยาย เรื่องอมตะ #Immortality#นิยายแปลไทย
Author(s)


สนใจสนับสนุนพวกเรา,เข้าร่วมกลุ่ม VIP ====> Click

***เว็ปฟรีอัพ สองวันหนึ่งตอน
***กลุ่มลับ อัพ 2-3 ตอนต่อวัน.

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น