Immortality Chapter 172 The second idea, three people of to become Hu
นิยาย เรื่อง อมตะ Chapter 172 The second idea, three people of to become Hu
第二计,三人成虎
แผนสอง ,สามคนกลายเป็นเสือ.
***ข่าวลือ หรือคำเท็จ
เมื่อถูกพูดออกไปแบบปากต่อปากมากๆเข้า
ก็สามารถทำให้คนทั่วไปที่ไม่ได้รับข้อมูลด้านอื่นเข้าใจผิด ว่าเรื่องที่ไม่มีมูลความจริงหรือเรื่องเท็จเหล่านั้นเป็นความจริง**
นับตั้งแต่ได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางระดับห้าอย่างเป็นทางการ,ร่างกายของจงซานก็รู้สึกสบายขึ้น,เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด,ราวกับว่าร่างกายเต็มไปด้วยพลัง,และพลังฝึกตนที่พัฒนาเร็วขึ้นกว่าเดิมอย่างชัดเจน.
จงซานรู้ดี,นี่คือวาสนา,เป็นวาสนาที่คลุมร่างกาย,นี่คือการชำระล้างของกรรม,จากการก่อตั้งราชวงศ์ต้าเจิ้งวาสนาที่สร้างขึ้นมานั้น,การสะสมวาสนายังช้าอยู่,มันจึงเพิ่มขึ้นทีละน้อยๆ,ไม่สามารถเห็นผลได้ชัดเจน,แต่การได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางระดับห้านั้น,ด้วยวาสนาที่ได้รับเพียงพอ,พริบตาเดียวจงซานก็สามารถสัมผัสได้แล้ว.
แม้ว่าจะไม่ถึงกับสำเร็จมรรคาระดับอ่อนนุ่ม,ทว่า,ด้วยวาสนามากมายที่อาบไปทั่วร่างนี้,พร้อมกับวาสนาของราชวงศ์กษัตริย์ที่มีเล็กน้อย,จงซานสามารถสัมผัสได้ว่าพลังฝึกตนของตัวเองเพิ่มเป็นสองเท่า,นับว่าเร็วเลยทีเดียว,ช่วยประหยัดเวลาเขาไม่น้อยเลย,ทว่าจงซานก็ยังไม่สามารถวางใจได้,เพราะว่าถึงจะเร็วเป็นสองเท่า,แต่เป็นสองเท่าของตัวเขาที่มีพรสวรรค์ทางร่างกายไม่ดี,เทียบกับคนอื่นแล้วก็ยังถือว่าช้า,เวลานี้คงจะเทียบกับคนที่มีพรสวรรค์ระดับกลางของคนที่ไม่ได้รับวาสนา.
อย่างไรก็ตามการเพิ่มขึ้นมาเช่นนี้,จงซานก็รู้สึกพึงพอใจแล้ว,ทุกๆวันเขายังคงฝึกฝนท่าร่างไม่ขาด,เว้นแต่วันไหนไม่ต้องคิดแผนการการหาเสียงในเมืองอู๋ซวัง,เขาก็จะฝึกฝนทั้งวันทั้งคืนทีเดียว.
จงซานที่บ้าคลั่งในการฝึกฝน,ดูเหมือนว่ากงจูเฉียนโหยวจะเข้าใจดี,เช่นนั้นนางจึงไม่ได้รบกวนเขาเท่าที่จำเป็น.
เวลานี้ทุกคนที่รอคอยจงซานอย่างอดทน.
หลังจากจงซานฝึกกระบวนท่าร่างฟันน้ำในสระพอแล้ว,จากนั้นก็ปล่อยแกนแท้อาบไปทั่วคมดาบ,จากนั้นก็ปล่อยปราณดาบยักษ์ออกไป,ดาบยักษ์ที่ฝันออกไปยังใจกลางสระช้าๆ.
สุ่ยเทียนหยาที่จ้องมองอยู่กับการกระทำของจงซาน,เมื่อเขาแผ่พุ่งปราณแท้ฉาบไปทั่วดาบเพื่อเพิ่มความคมตัดผ่านสระน้ำเช่นนี้,จะเกิดประโยชน์อะไรกัน?
ดาบของเขาที่ฟันลงไป,ปราณดาบขนาดสิบจั้งที่พุ่งตรงลงไปยังสระน้ำ,คาดไม่ถึงเลยว่าเมื่อสัมผัสผิวน้ำก็แยกออกเป็นสองสาย,กลายเป็นคลื่นสายลมที่พุ่งออกไปสองข้าง,ระเบิดออกไปทิศทิศทุกทาง.
ทว่าดูเหมือนปราณดาบที่ส่งออกไปนั้นเป็นเหมือนกับคลื่นสายลมที่ระเบิด
คล้ายปราณดาบ,เปลี่ยนเป็นคลื่นอัดอากาศที่รุนแรง,เพียงแค่ฟันออกไป,ด้วยการอัดถ่ายพลังปราณและปล่อยออกไปอย่างรุนแรง,สามารถที่จะตัดผ่านผิวน้ำออกเป็นสองสาย,ม้วนกวาดสายน้ำเป็นคลื่นใหญ่,พร้อมกับระเบิดสายลมที่ทรงพลัง,พุ่งออกไปกระแทกฝั่งเสียงดังสนั่น.
"คลืนนนนน"
กระแสน้ำที่ทะลักอาบไปทั่วฝั่ง,ซักสาดชายอย่างอย่างรุนแรง,เกิดเป็นคลื่นที่สูง,สาดสูงคลุมต้นไม้ใหญ่ก่อนที่จะค่อยไหลกลับลงมายังสระน้ำเป็นการระเบิดสระน้ำ,เป่าน้ำทั้งหมดให้หายไปในพริบตา,ม้วนกวาดกลายเป็นคลื่นใหญ่เขาไปกระแทกฝั่ง.
กระบวนท่าดังกล่าว,ดูเหมือนว่าจะเป็นการแผ่พุ่งแกนแท้ลงไปธรรมดา,หลังจากที่ปล่อยกระบวนท่าดังกล่าวเสร็จแล้ว,ดูเหมือนว่าจะทำให้จงซานถึงกับยืนหอบๆ,หายใจแรงเลยทีเดียว,ทว่าใบหน้าของเขาที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น.
ขณะที่จงซานใช้กระบวนท่าต่อไป,กงจูเฉียนโหยวถึงกับยืนขึ้นพรวดพราด,ชำเลืองมองตาโต,คนอื่นๆอีกสามคนก็เผยสีหน้าไม่อยากเชื่อด้วยเช่นกัน.
"สามคลื่นดาบทำลาย"กงจูเฉียนโหยวที่อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ.
"ไม่ใช่,นี่ไม่ใช่เพลงดาบแต่อย่างใด,สามคลื่นดาบทะลายนี้เป็นวิชาที่มีแต่ผู้ฝึกตนระดับก่อตั้งวิญญาณเท่านั้นถึงจะทำได้,ไม่ใช่วิชาลับ,เป็นวิชาอะไรอย่างงั้นรึ?"กงจูเฉียนโหยวที่ออกความเห็น.
คนทั้งสามที่จ้องมองด้วยความอัศจรรย์ใจเช่นกัน.
กงจูเฉียนโหยวที่อุทานออกมา,ทันใดนั้นจงซานก็หันกลับมามองในทันที,ก่อนหน้านี้เขาได้สร้างเพลงดาบขึ้นมาเอง,เป็นการคิดขึ้นมาในใจ,กงจูเฉียนโหยวคงจะไม่ค้นพบ.
จงซานที่แผ่แกนแท้ไปที่ขาก่อนที่จะกระโดดข้ามมา,พร้อมกับจัดแจงเสื้อผ้าให้ดูเรียบร้อย.
"คารวะกงจู."จงซานกล่าว.
"เซียนเซิง,เพลงดาบก่อนหน้านี้คือ?ไม่เคยเห็นเลย?
นอกจากนี้เหมือนว่าผู้ฝึกตนระดับก่อตั้งวิญญาณเท่านั้นถึงจะใช้เพลงดาบเช่นนี้ได้?"กงจูเฉียนโหยวที่กล่าวออกมาด้วยท่าทางประหลาดใจ.
กงจูเฉียนโหยวที่จ้องมองอยู่,นางย่อมสามารถมองเห็นพลังฝึกตนของเขาได้อย่างแจ่มแจ้ง,เป็นไปได้ว่ากงจูเฉียนโหยวนั้นมีพลังฝึกตนอยู่ในระดับหลอมกายธาตุ,เพลงดาบก่อนหน้านี้นั้น,เป็นเพลงดาบที่เข้าคิดค้นขึ้นเอง,ทะลายจุดอ่อน,ระดับแรกคือผ่าฟืน,ระดับที่สองคือตัดต้นข้าว,ระดับที่สามผ่าหินและระเบิดสายน้ำ.
กงจูเฉียนโหยวย่อมสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน,ทว่าจงซานก็ไม่โง่ที่จะเปิดเผยเคล็ดวิชานี้ออกไป.
"นี่คือทักษะระดับต่ำเท่านั้น,ใยจะกล้าอวดอ้างต่อคนที่โดดเด่นเช่นกงจูล่ะ,มีแต่จะทำให้กงจูหัวร่อเท่านั้น."จงซานที่หัวเราะออกมาเบาๆ.
ได้ยินคำพูดของจงซานแล้ว,กงจูเฉียนโหยวรู้ว่าเขากล่าวออกมาพอเป็นพิธีเท่านั้น,ในเมื่อจงซานไม่ต้องการจะกล่าว,กงจูเฉียนโหยวย่อมไม่สามารถบังคับได้.
"เซียนเซิง,พวกเราควรที่จะเริ่มขั้นตอนเรียกคะแนนเสียงแล้ว,การเลือกตั้งนั้นจะเริ่มสิบเดือนหลังจากนี้."กงจูเฉียนโหยวกล่าว.
"นำแผนที่มาด้วยหรือไม่?"จงซานกล่าว.
"อาต้า."กงจูเฉียนโหยวที่เอ่ยออกมา.
อาต้าที่นำหยกสีขาวออกมาวางบนโต๊ะ,เป็นหยกที่แบบราบ,เพียงแค่เปิดใช้งาน,มันก็ฉายภาพแผนที่ของเมืองอู๋ซวังออกมา,อย่างไรก็ตามสถานที่ที่ปกคลุมด้วยม่านสีแดง,และม่านสีน้ำเงิน,ก็มีแสงปกคลุมอยู่,ไม่สามารถมองเห็นด้านในได้,นอกจากนี้ภาพที่ฉายออกมานั้นยังเป็นภาพสามมิติ.
"สุ่ยเทียนหยา,เจ้าอธิบายเกี่ยวกับการลงคะแนนเสียงให้เซียนเซิงฟัง."กงจูเฉียนโหยวกล่าว.
"ครับ."สุ่ยเทียนหยารับคำ,จากนั้นก็ก้าวออกมา.
"ทั่วทั้งเมืองแห่งนี้,มีอยู่ 72
เขตพื้นที่,แต่ละพื้นที่จะมีเวทีสำหรับลงคะแนนสิบแห่ง,แต่ละแห่งจะมีขวดน้ำเต้ายักษ์ปรากฏอยู่ที่เวทีเลือกตั้ง,หนึ่งสีแดงและหนึ่งสีนำเงิน,สีแดงนั้นคือข้า,ส่วนสีน้ำเงินก็คือโม่ไป่หลี่,ทุกๆคนจะสามารถลงคะแนนได้เพียงแค่ครั้งเดียว,สามารถนับตราประทับส่วนตัวเพื่อไปประทับที่ขวดน้ำเต้าได้,เมื่อทำการลงคะแนน,ชื่อของผู้ลงคะแนนจะถูกบันทึกลงในของวิเศษ,เมื่อลงคะแนนไปแล้ว,เมื่อประทับครั้งที่สองจะไม่เป็นผล,และทุกๆวันคะแนนเลือกตั้งจะมาปรากฏขึ้นที่ป้ายหยกขนาดยักษ์บนทิศเหนือและทิศใต้,สามารถที่จะมองเห็นคะแนนของประชาชนในแต่ละวันได้."สุ่ยเทียนหยาตอบ.
"หืม?ตราประทับนี้นะรึ?"จงซานที่นำตราประทับขุนนางของตัวเองออกมา,ซึ่งดูเหมือนกับก้อนอิฐก้อนหนึ่ง.
"ใช่แล้ว,ประชาชนทุกคนของราชวงศ์สวรรค์ต้าโหลวมีเหมือนๆกัน,เพราะว่ามันถูกสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ,ดังนั้นจึงไม่สามารถปลอมแปลงได้,และเพราะว่ามันเป็นข้อมูลส่วนบุคคล,ดังนั้นมันจึงเป็นตราประทับส่วนตัวซึ่งสามารถแยกแยะคนของราชวงศ์สวรรค์ต้าโหลวได้เป็นพิเศษ."สุ่ยเทียนหยากล่าว.
จงซานที่จ้องมองตราประทับในมือ,ก็รู้สึกประหลาดใจ,ตราประทับที่แปลกๆนี้,สร้างขึ้นมาอย่างไร?
ดูเหมือนว่ามันจะเป็นผนึกเฉพาะบุคคล,ไม่ต่างจากบัตรประชาชนที่โลกเดิมขอเขาเลย?
ไม่เพียงแต่ไม่สามารถปลอมแปลงได้,ยังสามารถเชื่อมโยงกับศูนย์กลางได้ด้วย,นับเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ,หลังจากนี้ต้องหาโอกาสเรียนรู้เทคโนโลยีนี้ด้วยแล้ว.
"ผลตอบรับของการหาเสียงเป็นอย่างไรบ้าง?"จงซานที่จ้องมองสอบถามไปยังสุ่ยเทียนหยา.
ได้ยินคำพูดของจงซานแล้ว,ใบหน้าของสุ่ยเทียนหยาที่เต็มไปด้วยความกังวล,เห็นท่าทางของสุ่ยเทียนหยาเช่นนั้น,สายตาของจงซานที่จับจ้อง,ขมวดคิ้วไปมา.
"เซียนเซิง,วิธีของท่าน,ดูเหมือนว่าในคราแรกจะมีคนเชื่อเกี่ยวกับการหาเสียงด้วย"วิกฤติสงครามอยู่บ้าง
ทว่าโม่ไป่หลี่ฝ่ายตรงข้ามก็ใช้วิธีหาเสียงด้วย"ยุคแห่งความสงบ"
จนทำให้ผู้คนมีแนวโน้วเชื่อพวกเขามากกว่า,นอกจากนี้ข้ายังส่งคนออกหาเสียงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสร้างปัญหาขึ้นเท่านั้น,ถึงแม้ว่าจะมีคนเชื่อ,แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็กลายเป็นคลางแคลงใจ,และการจัดการดินแดนทิศใต้ให้ดูเข้มงวดนั้น,กลับทำให้พวกเขาโอดครวญสร้างความลำบากให้กับพวกเขาไปด้วยซ้ำ."สุ่ยเทียนหยาที่ถอนหายใจยาว.
กงจูเฉียนโหยวยังคงจิบน้ำชา,ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา,นางยังคงจ้องมองนิ่งงัน,เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย,ดูเหมือนว่านางกำลังรอจงซานกำลังหาวิธีต่อไป.
แน่นอนด้วยประสบการและเชาว์ปัญญาของจงซานนั้น,กงจูเฉียนโหยวที่คาดหวังกับจงซานมากขึ้นและก็มากขึ้น,เกี่ยวกับการหาเสียงในเมืองอู๋ซวังนั้น,กงจูเฉียนโหยวไม่ต้องการที่จะทำอะไรแล้ว,นางไม่ต้องการใช้ความคิดอะไรเลย,และนางเองก็ไม่จำเป็นต้องหาวิธีหรือการเตรียมการใดๆดังสิ้นเพื่อแก้ปัญหา,ตอนนี้นางแค่เฝ้ารอคอยดูจงซานดำเนินการ,จ้องมองว่าเขาจะจัดการเรื่องคราวนี้เช่นไร,เป็นเหมือนกับการประเมินจงซาน,กงจูเฉียนโหยวต้องการเห็นว่า,จงซานนั้นมีความสามารถมากมายขนาดใหนกัน.
เมืองอู๋ซวังแห่งนี้ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว,ก็ไม่อยู่ในสายตาของกงจูเฉียโหยวเท่าใดนัก,ถึงแม้ว่าจะเป็นคำสั่งของอ๋องเจิ้งอี้ก็ตาม,แต่ผลสำเร็จหรือล้มเหลวในครั้งนี้,จะเป็นแบบทดสอบคนของนางว่ามีความสามารถขนาดใหน.ผลของมันคือสิ่งที่ล้ำค่ากับนางมากกว่า.
จงซานที่ได้ยินคำพูดของสุ่ยเทียนหยา,ทำให้เขาครุ่นคิดนิดหนึ่ง,ไม่ได้กล่าวอะไร,สุ่ยเทียนหยาทำเพียงพอหรือไม่?ไม่ได้ผลอย่างงั้นรึ?
"ใต้เท้าสุ่ย,ท่านหาเสียงและให้คนปล่อยข่าวลือไปพร้อมกันหรือไม่?"จงซานสอบถาม.
"ทุกๆวันคนของพวกเราจะต้องช่วยข้าหาเสียง."สุ่ยเทียนหยางกล่าว.
เห็นท่าทางพึงพอใจของสุ่ยเทียนหยาแล้ว,จงซานถึงกับโง่งมไปเลย,ก่อนที่จะหันหน้าไปทางกงจูเฉียนโหยว,ทว่านางก็ปล่อยให้เขาเป็นคนจัดการ,ราวกับว่าเรื่องทุกอย่างขึ้นอยู่กับเจ้า.
จงซานที่ขมวดคิ้วไปมาเมื่อจ้องมองไปยังกงจูเฉียนโหยว,จงซานราวกับสามารถคาดเดาได้ถูกต้องในความคิดของกงจูเฉียนโหยว,ทำให้เขาได้แต่ทอดถอนใจ,ก็ได้,ยังไงก็เป็นหนี้เจ้าเมื่อครั้งค่ายกลแปดประตูกุญแจทองอยู่แล้ว.
"ใต้เท้าสุ่ย,ท่านหาเสียงปรกติ,และปล่อยข่าวลือลับๆไปด้วย,จะหยุดทำอย่างใดอย่างหนึ่งได้อย่างไร?
ยิ่งเวลานาน,ผู้คนย่อมมีภูมิคุ้มกัน,ทุกๆวันจะต้องพูดซ้ำๆคำเดิม,เพื่อที่จะให้พวกเขาสนใจฟัง?ท่านต้องทำให้พวกเขาเชื่อสนิทใจ,ให้แต่ละคน,คอยสับเปลี่ยนพูดเรื่องเดียวกันซ้ำๆในแต่ละวัน,ติดต่อกันราวๆ
300 วัน,ให้พวกเขาช่วยกันหาเสียงและปล่อยข่าวลืออย่างเต็มที,ให้ทุกคนสามารถได้เห็น,และคนที่แตกต่างกันบอกเกี่ยวกับ"วิกฤติสงคราม,วันหนึ่งให้พวกเขาเห็นสามคนที่พูดเหมือนกัน,สิบวันก็ให้เห็นคนที่แตกต่างกัน
30
คน,และให้เพิ่มเป็นหนึ่งร้อยคนกับคนที่แตกต่าง,พูดเรื่อง"วิกฤติสงคราม"ถึงแม้วพวกเขาไม่เชื่อก็ให้พวกเขาคลางแคลงใจ,ใต้เท้าเคยได้ยินหรือไม่,สามคนกลายเป็นเสือ?"จงซานที่ล่าวออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายใจ.
ได้ยินคำพูดของจงซานแล้ว,ใบหน้าของสุ่ยเทียนหยาที่เปลี่ยนเป็นสีแดง,เขารู้ว่าก่อนหน้านี้เขาเข้าใจความหมายผิดไปเล็กน้อย.
"อืม,ข้าพบว่าใต้เท้าสุ่ยยังทำไม่ถูกต้อง."จงซานที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง.
"หืม?อย่างไรรึ?"กงจูเฉียนโหยวที่กล่าวออกมาด้วยความประหลาดใจ.
"ใต้เท้าสุ่ยท่านไม่เชื่อเรื่องวิกฤติสงคราม,ท่านควรจะจริงจังและใช้อารมณ์กับคำพูดของท่านด้วย,อารมณ์ความรู้สึกนั้นมีผลต่อการหาเสียงกับผู้คนอย่างแน่นอน,ท่านไม่เชื่อและมั่นใจในตัวเองในการหาเสียง?อย่างแรก,ใต้เท้าควรที่จะปรับสภาพอารมณ์ตัวเองก่อน,เชื่อในตนเอง,และสร้างภาพให้ทุกคนได้เห็น,ให้ผู้คนได้เห็นคำพูดที่หนักแน่นน่าเชื่อถือ,และทุกวันก่อนที่จะออกไปหาเสียงนั้น,จะต้องรวมตัว,เพื่อที่จะล้างสมองคนของท่านทุกคนก่อนออกไป."
วิธีการเหล่านี้นั้นเป็นวิธีการเกี่ยวกับการตลาดการค้าขาย,กล่าวได้ว่าจงซานนั้นเชี่ยวชาญที่สุด.
"ล้างสมอง?"สุ่ยเทียนหยาที่จ้องมองจงซานด้วยความสงสัย.
"ก่อนที่จะออกไปหาเสียงเชิญชวนประชาชนในทุกๆวันนั้น,ท่านจะต้องบรรจุความคิดเกี่ยวกับ"วิกฤติสงคราม"ใส่หัวพวกเขาทำให้ภายในใจของพวกเขามีอารมณ์ร่วมรู้สึกเป็นทุกข์ถึงเรื่องนี้,นี่ถือจะเป็นการหาเสียงที่ดี."จงซานกล่าว.
"ทำเช่นนี้แล้ว,จะได้ผลแตกต่างกันอย่างงั้นรึ?"สุ่ยเทียนหยาสอบถาม.
"แน่นอน,ท่านไม่เชื่อมันที่จะโน้มน้าวคนอื่นได้อย่างงั้นรึ?
การหาเสียงเอง,ก็เป็นหนึ่งในการชักจูงทำให้ทุกอย่างเป็นเรื่องชอบธรรมด้วยความพูด,นี่ถึงจะเป็นการหาเสียงที่ดีเยี่ยม."จงซานกล่าวออกมาด้วยท่าทางขึงขัง.
...................
ซานเหรินเฉิงหู่
(三人成虎) : 3 คนกลายเป็นเสือ
三(sān)
อ่านว่า ซาน แปลว่า สาม
人(rén)
อ่านว่า เหริน แปลว่า คน
成(chéng)
อ่านว่า เฉิง แปลว่า
กลายเป็น
虎(hǔ)
อ่านว่า หู่ แปลว่า เสือ
ในสมัยสงครามระหว่างรัฐ (จั้นกั๋ว)
ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีรัฐประเทศเล็ก ๆ อยู่หลายรัฐ
ซึ่งแต่ละรัฐก็มักจะก่อสงครามรบพุ่งกันเสมอ จึงถือว่ายุคนั้นเป็นยุดแห่งการสงคราม
ในยุคนั้นมีรัฐ 2 รัฐ ที่มีเขตแดนติดกันคือรัฐเว่ย และรัฐเจ้า
และเพื่อเป็นคำมั่นในการเจริญสัมพันธไมตรี หยุดสู้รบ ทั้ง 2
รัฐจึงตกลงที่จะแลกเปลี่ยนคนกันเพื่อเป็นหลักประกัน
ดังนั้นอ๋องรัฐเว่ยจึงส่งบุตรชายคนเดียวของตนไปเป็นตัวประกันยังเมืองหลวงรัฐเจ้า
ทั้งยังส่งขุนนางชั้นสูง นาม ผางชง เดินทางไปยังรัฐเจ้าด้วยเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยให้องค์รัชทายาทแห่งรัฐเว่ย
ผางชง เป็นขุนนางที่มีความรู้ความสามารถอย่างยิ่ง
ในวังหลวงจึงมีขุนนางอื่นที่ตั้งตนเป็นปรปักษ์กับเขามากมายเนื่องจากความริษยา
ดังนั้นเข้าจึงเกรงว่าหากตนเองเดินทางออกจากวังหลวงแล้วจะมีผู้ไม่หวังดีมาเพ็ดทูลให้ร้ายตน
ดังนั้นก่อนออกเดินทาง เขาจึงกล่าวกับอ๋องรัฐเว่ยว่า
"ท่านอ๋อง หากตอนนี้มีคนผู้หนึ่งกล่าวว่า
บนท้องถนนกลางเมืองมีเสือเดินมา ท่านจะเชื่อหรือไม่?"
อ๋องรัฐเว่ยกล่าวว่า "ย่อมไม่เชื่อ
เสือที่ไหนจะวิ่งขึ้นมาบนท้องถนนกลางเมือง"
ผางชงกล่าวอีกว่า "หากมีคน 2 คนกล่าวเช่นเดียวกันเล่า
ท่านจะเชื่อหรือไม่?"
อ๋องรัฐเว่ยตอบว่า "หาก 2 คนพูดเหมือนกัน
ข้าก็คงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง"
ผางชงจึงกล่าวว่า "งั้น หากมีคนถึง 3
คนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า บนท้องถนนปรากฏเสือตัวใหญ่ ท่านเห็นอย่างไร?"
คราครั้งนี้อ๋องรัฐเว่ยจึงตอบว่า "ถ้าทุกคนพูดเหมือนกัน
ข้าก็ได้แต่เชื่อเช่นนั้นแล้ว"
เมื่อได้ยินอ๋องรัฐเว่ยกล่าวเช่นนั้น ขุนนางใหญ่ได้แต่ถอนหายใจ
พลางกล่าวว่า "ท่านอ๋อง เสือไม่อาจวิ่งเข้ามาบนท้องถนน
เรื่องนี้คนทั่วไปต่างทราบดี แต่เพียงมีคน 3 คนพูด เหมือนกัน เรื่องเสือบนถนนนี้กลับกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา
เช่นเดียวกับหานตาน (เมืองหลวงแห่งรัฐเจ้า) ซึ่งห่างไกลจากต้าเหลียง
(เมืองหลวงแห่งรัฐเว่ย) เรามากโข ทั้งคนที่รอจะเพ็ดทูลเรื่องต่าง ๆ
ต่อพระองค์ก็ไม่ใช่ว่าจะมีเพียง 3 คนเท่านั้น"
อ๋องรัฐเว่ยเข้าใจความนัยของคำพูดขุนนางเอก จึงพยักหน้ากล่าวว่า
"ข้าเข้าใจ เจ้าจงวางใจและเดินทางไปเถิด"
จากนั้นรัชทายาทพร้อมด้วยขุนนางผางชงจึงออกเดินทาง
หลังจากที่ผางชงจากไปไม่นาน
ก็มีบรรดาขุนนางที่ริษยาพากันมาเพ็ดทูลให้ร้ายเขาดังคาด
แต่อ๋องรัฐเว่ยก็แก้ต่างให้ผางชงในทุก ๆ ครั้ง และยกย่องว่าผางชงเป็นขุนนางผู้มีสติปัญญาและความจงรักภักดี
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า
ได้รับฟังเรื่องราวความไม่ดีของผางชงมากขึ้น ๆ
สุดท้ายอ๋องรัฐเว่ยก็กลับคล้อยตามและเชื่อว่าผางชงเป็นขุนนางโฉดไปในที่สุด
สามคนกลายเป็นเสือ แม้ความจริงไม่มีเสือ แต่เมื่อหลายคนพูดเช่นเดียวกัน
ข่าวลือว่ามีเสือก็ทำให้ผู้คนที่รับฟังเชื่อว่าเป็นความจริงได้
สุภาษิตคำนี้หมายความถึง ข่าวลือ หรือคำเท็จ เมื่อถูกพูดออกไปแบบปากต่อปากมากเข้า
ๆ ก็สามารถทำให้คนทั่วไปที่ไม่ได้รับข้อมูลด้านอื่นเข้าใจผิด
ว่าเรื่องที่ไม่มีมูลความจริงหรือเรื่องเท็จเหล่านั้นเป็นความจริง
//www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9510000124569
ที่มาจากhttps://lnmtl.com/novel/immortality
#นิยาย เรื่องอมตะ #Immortality#นิยายแปลไทย
Author(s)
สนใจสนับสนุนพวกเรา,เข้าร่วมกลุ่ม VIP ====> Click
***เว็ปฟรีอัพ สองวันหนึ่งตอน
***กลุ่มลับ อัพ 2-3 ตอนต่อวัน.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น